“ขวัญชัย”ตัวเปิด แผนพาคนไปตาย ใช่หรือไม่ ?
พิจารณากันที่บทบาทของนายขวัญชัย ในการชุมนุมเมื่อปี 2553กับการออกมาแฉความจริงว่าถูก 3 เกลอสั่งการให้บุกกองทัพภาคที่ 1 นั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายขวัญชัย จะหลุดรอดจากข้อกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพาคนไปตายหรือไม่และที่สำคัญเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาบทบาทของนายขวัญชัยในช่วงการชุมนุม 2553 ก็จะพบว่า นายขวัญชัยอาจจะเป็นตัวเปิดหรือเครื่องมือสำหรับการยั่วยุเพื่อนำพาสถานการณ์ไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ หนึ่งในนั้นก็คือการเสียชีวิตของทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 9 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 โดยที่ผ่านมาศาลได้นำเอาผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืน และ แพทย์นิติเวช รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิถีกระสุนการยิง และก็เป็นอีกหนึ่งคดีที่ยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็ทิ้งแง่มุมที่น่าสนใจให้สังคมได้พิจารณาดังนี้
ที่มาการเสียชีวิตของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ เกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่จะเอาแต่ชนะของแกนนำนปช.ในตอนนั้น โดยไม่สนใจว่าผู้ชุมนุมจะมีความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างไร เริ่มจากสถานการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ที่กำลังเริ่มร่อยหรอ ได้มีการระดมพลจากต่างจังหวัดเข้ามาสมทบ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารตั้งด่านสกัดอยู่บริเวณ ตลาดไท จ.ปทุมธานี เช้าตรู่วันที่ 28 เมษายน นายขวัญชัย ไพรพนา สั่งระดมผู้ชุมนุมออกเดินทางจากแยกราชประสงค์ ไปตลาดไท ถ.พหลโยธิน เพื่อสลายด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกๆ ด่าน
ขณะที่โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ประกาศบนเวที ให้ผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อยู่บริเวณแยกศาลาแดง เคลื่อนขบวนไปที่ตลาดไท โดยใช้รถบรรทุก รถมอเตอร์ไซค์ เคลื่อนตัว ไปตามเส้นทาง ถนนพระราม 4 วิ่งเข้ารัชดาภิเษก เข้าถนนวิภาวดีรังสิต ออกพหลโยธิน เพื่อมุ่งหน้าสู่ตลาดไท
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เข้าคลี่คลายสถานการณ์อย่างทันท่วงที เวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายขวัญชัยเคลื่อนพลไปยังเป้าหมายตลาดไท ได้เคลื่อนพลถึงฐานทัพอากาศดอนเมือง นายขวัญชัย ได้สั่งให้ขบวนหยุด เนื่องจากพบว่ามีตำรวจและทหารตั้งด้านสกัดอยู่และให้กลุ่มมอเตอร์ไซค์ไปดูพร้อมให้ถอยกลับมาก่อน โดยทหารมีการเตรียมพร้อมตั้งแถวพร้อมอุปกรณ์ปราบจลาจลและทั้งสองฝ่ายปักหลักกันอยู่มีช่องว่างห่างกันประมาณ 2กิโลเมตร ทั้งนี้ทหารได้ขอความร่วมกับสื่อมวลชนให้ออกนอกพื้นที่ปฏิบัติงาน
กลุ่มเสื้อแดงจำนวนมากไม่พอใจ และได้เข้ามารื้อลวดหนาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ไม่ยอมให้รื้อ ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักหลัก ก็ได้เดินทางเข้ามาเสริม ทำให้มีจำนวนคนเสื้อแดงเพิ่มมาขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. ได้เกิดการปะทะกันขึ้นอย่างหนักหน่วง และเป็นเหตุทำให้พลทหารณรงฤทธิ์ถูกยิง จนเสียชีวิต....
จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. ได้เกิดการปะทะกันขึ้นอย่างหนักหน่วง และเป็นเหตุทำให้พลทหารณรงฤทธิ์ถูกยิง จนเสียชีวิต....
ก่อนหน้านี้พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกศอฉ. เบิกความว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2553 ได้รับทราบจากรายงานว่าพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 5.56 มม.เข้าที่บริเวณขมับด้านข้าง จนเสียชีวิต ขณะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เพื่อไปเสริมกำลังที่ด่านสกัดของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ โดยขณะนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 4-5 นัด ขณะเดียวกับที่ปรากฎกลุ่มควันขึ้นทางด้านขวา ของถนนวิภาวดี-รังสิต จากนั้นรถจักรยานยนต์คันของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ก็ล้มลงไปทางด้านซ้ายของถนน จึงเชื่อว่าพลทหารณรงค์ฤทธิ์น่าจะถูกยิงมาจากทางด้านขวา เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกยิงมาจากแนวตั้งของทหารและตำรวจ ซึ่งอยู่ทางด้านหน้า และเมื่อเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.2553 ปรากฎกลุ่มชายชุดดำได้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมกับแย่งอาวุธปืนทราโว่ และ เอ็ม 16 จึงเป็นได้ที่ วันที่ 28 เม.ย.2553 จะมีแนวร่วมบางคน นำอาวุธปืนที่ได้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 มาใกล้บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จนเป็นเหตุให้พลทหารณรงค์ฤทธิ์เสียชีวิต
นายพีรบูรณ์ สวัสดินันทน์ ช่างภาพช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุได้รับมอบหมายให้ติดตามการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปช. นำโดยนายขวัญชัย จากแยกราชประสงค์เพื่อจะไปสมทบกับผู้ชุมนุม นปช. ที่บริเวณตลาดไท โดยใช้เส้นทางถนนวิภาวดี-รังสิต แต่เมื่อไปถึงบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ พบว่าขบวนของกลุ่ม นปช.ไม่สามารถที่จะเคลื่อนผ่านแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ เนื่องจากการจราจรติดขัดมาก ตนจึงได้ลงจากรถยนต์และขึ้นไปตั้งกล้องถ่ายภาพบนสะพานลอย ซึ่งอยู่ตรงกลาง ระหว่างกลุ่มนปช.และแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ และเมื่อรถจักรยานยนต์ชุดเคลื่อนที่เร็ว เข้ามาใกล้บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ห่างประมาณ 50 เมตร ตนก็ยังไม่ทราบว่ามีทหารถูกยิงเสียชีวิตและไม่ได้ยินเสียงปืน เนื่องจากเสียงจากลำโพงของเจ้าหน้าที่ดังมาก และเห็นเพียงรถจักรยานยนต์ล้มตามๆ กัน แต่ขณะนั้นก็ได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวไว้ได้ทั้งหมด จนเมื่อกลับไปถึงยังสถานีโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตัดต่อได้นำภาพมาเปิดกระทั่งเห็นภาพเหตุการณ์ขณะพลทหารณรงค์ฤทธิ์โดนยิงเสียชีวิต และได้นำภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไปออกรายการข่าวของช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี
และในเวลาต่อมาก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา สามารถจับภาพของชายชุดดำพร้อมอาวุธปืน ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ ที่เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับคนเสื้อแดง ที่หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงข่าวการตรวจยึดอาวุธระเบิดเอ็ม 79 ซึ่ง ตรวจยึดได้บนถนนวิภาวดี-รังสิต ทิศทางขาเข้า บริเวณหน้าฐานทัพอากาศดอนเมือง หลังหตุการณ์การปะทะกันระหว่าง กลุ่ม นปช. กับเจ้าหน้าที่ทหาร
ผู้ขนอาวุธดังกล่าวเป็นชาย 1 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์มาบนถนนวิภาวดี-รังสิต ทิศทางขาเข้า เมื่อใกล้ถึงด่านตรวจของทหารอากาศสนธิกำลังกับกองกำกับการจราจร ได้ขับรถหนี ก่อนจอดรถแล้ววิ่งหนี โดยทิ้งถุงสีดำไว้ เจ้าหน้าที่จึงเข้าสอบรถคันดังกล่าว เป็นจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีแดง ทะเบียน พขน 68 กรุงเทพ มีระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก พร้อมเครื่องยิงเป็นประกับ รุ่นเอ็ม 203
แม้ว่าการตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์จะยังไม่ได้ข้อสรุปในขั้นตอนการไต่สวน แต่จากการลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ต้องพิจารณาว่าการมุ่งแต่จะเอาชนะของแกนนำนปช.ที่สั่งการให้คนเสื้อแดงต่อสู้ด้วยรูปแบบต่างๆ ถึงขั้นบุกไปเผชิญหน้ากับทหาร ล้วนเป็นการตัดสินใจที่ไร้ความรับผิดชอบว่าจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อคนเสื้อแดงและทหารอย่างไรบ้าง ในขณะที่แกนนำต่างหลบอยู่ที่เวที และลูกเมียอยู่ในสถานที่ปลอดภัย...
โดย TnewsOnline
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น