วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

“ขวัญชัย”ตัวเปิด แผนพาคนไปตาย ใช่หรือไม่ ? เมื่อ 16 เม.ย.56


“ขวัญชัย”ตัวเปิด แผนพาคนไปตาย ใช่หรือไม่ ?

พิจารณากันที่บทบาทของนายขวัญชัย ในการชุมนุมเมื่อปี 2553กับการออกมาแฉความจริงว่าถูก 3 เกลอสั่งการให้บุกกองทัพภาคที่ 1 นั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายขวัญชัย จะหลุดรอดจากข้อกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพาคนไปตายหรือไม่และที่สำคัญเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาบทบาทของนายขวัญชัยในช่วงการชุมนุม 2553 ก็จะพบว่า นายขวัญชัยอาจจะเป็นตัวเปิดหรือเครื่องมือสำหรับการยั่วยุเพื่อนำพาสถานการณ์ไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ หนึ่งในนั้นก็คือการเสียชีวิตของทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 9 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 โดยที่ผ่านมาศาลได้นำเอาผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืน และ แพทย์นิติเวช รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิถีกระสุนการยิง และก็เป็นอีกหนึ่งคดีที่ยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็ทิ้งแง่มุมที่น่าสนใจให้สังคมได้พิจารณาดังนี้
          ที่มาการเสียชีวิตของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ เกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่จะเอาแต่ชนะของแกนนำนปช.ในตอนนั้น โดยไม่สนใจว่าผู้ชุมนุมจะมีความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างไร เริ่มจากสถานการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ที่กำลังเริ่มร่อยหรอ ได้มีการระดมพลจากต่างจังหวัดเข้ามาสมทบ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารตั้งด่านสกัดอยู่บริเวณ ตลาดไท จ.ปทุมธานี เช้าตรู่วันที่ 28 เมษายน นายขวัญชัย ไพรพนา สั่งระดมผู้ชุมนุมออกเดินทางจากแยกราชประสงค์ ไปตลาดไท ถ.พหลโยธิน เพื่อสลายด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกๆ ด่าน
         ขณะที่โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ประกาศบนเวที ให้ผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อยู่บริเวณแยกศาลาแดง เคลื่อนขบวนไปที่ตลาดไท โดยใช้รถบรรทุก รถมอเตอร์ไซค์ เคลื่อนตัว ไปตามเส้นทาง ถนนพระราม 4 วิ่งเข้ารัชดาภิเษก เข้าถนนวิภาวดีรังสิต ออกพหลโยธิน เพื่อมุ่งหน้าสู่ตลาดไท
         พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เข้าคลี่คลายสถานการณ์อย่างทันท่วงที  เวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายขวัญชัยเคลื่อนพลไปยังเป้าหมายตลาดไท ได้เคลื่อนพลถึงฐานทัพอากาศดอนเมือง นายขวัญชัย ได้สั่งให้ขบวนหยุด เนื่องจากพบว่ามีตำรวจและทหารตั้งด้านสกัดอยู่และให้กลุ่มมอเตอร์ไซค์ไปดูพร้อมให้ถอยกลับมาก่อน โดยทหารมีการเตรียมพร้อมตั้งแถวพร้อมอุปกรณ์ปราบจลาจลและทั้งสองฝ่ายปักหลักกันอยู่มีช่องว่างห่างกันประมาณ 2กิโลเมตร ทั้งนี้ทหารได้ขอความร่วมกับสื่อมวลชนให้ออกนอกพื้นที่ปฏิบัติงาน
         กลุ่มเสื้อแดงจำนวนมากไม่พอใจ และได้เข้ามารื้อลวดหนาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ไม่ยอมให้รื้อ ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักหลัก ก็ได้เดินทางเข้ามาเสริม ทำให้มีจำนวนคนเสื้อแดงเพิ่มมาขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. ได้เกิดการปะทะกันขึ้นอย่างหนักหน่วง และเป็นเหตุทำให้พลทหารณรงฤทธิ์ถูกยิง จนเสียชีวิต....
         ก่อนหน้านี้พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกศอฉ. เบิกความว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2553 ได้รับทราบจากรายงานว่าพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 5.56 มม.เข้าที่บริเวณขมับด้านข้าง จนเสียชีวิต ขณะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เพื่อไปเสริมกำลังที่ด่านสกัดของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ โดยขณะนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 4-5 นัด ขณะเดียวกับที่ปรากฎกลุ่มควันขึ้นทางด้านขวา ของถนนวิภาวดี-รังสิต จากนั้นรถจักรยานยนต์คันของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ก็ล้มลงไปทางด้านซ้ายของถนน จึงเชื่อว่าพลทหารณรงค์ฤทธิ์น่าจะถูกยิงมาจากทางด้านขวา เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกยิงมาจากแนวตั้งของทหารและตำรวจ ซึ่งอยู่ทางด้านหน้า และเมื่อเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.2553 ปรากฎกลุ่มชายชุดดำได้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมกับแย่งอาวุธปืนทราโว่ และ เอ็ม 16 จึงเป็นได้ที่ วันที่ 28 เม.ย.2553 จะมีแนวร่วมบางคน นำอาวุธปืนที่ได้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 มาใกล้บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จนเป็นเหตุให้พลทหารณรงค์ฤทธิ์เสียชีวิต
         นายพีรบูรณ์ สวัสดินันทน์ ช่างภาพช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุได้รับมอบหมายให้ติดตามการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปช. นำโดยนายขวัญชัย จากแยกราชประสงค์เพื่อจะไปสมทบกับผู้ชุมนุม นปช. ที่บริเวณตลาดไท โดยใช้เส้นทางถนนวิภาวดี-รังสิต แต่เมื่อไปถึงบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ พบว่าขบวนของกลุ่ม นปช.ไม่สามารถที่จะเคลื่อนผ่านแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ เนื่องจากการจราจรติดขัดมาก ตนจึงได้ลงจากรถยนต์และขึ้นไปตั้งกล้องถ่ายภาพบนสะพานลอย ซึ่งอยู่ตรงกลาง ระหว่างกลุ่มนปช.และแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ และเมื่อรถจักรยานยนต์ชุดเคลื่อนที่เร็ว เข้ามาใกล้บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ห่างประมาณ 50 เมตร ตนก็ยังไม่ทราบว่ามีทหารถูกยิงเสียชีวิตและไม่ได้ยินเสียงปืน เนื่องจากเสียงจากลำโพงของเจ้าหน้าที่ดังมาก และเห็นเพียงรถจักรยานยนต์ล้มตามๆ กัน แต่ขณะนั้นก็ได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวไว้ได้ทั้งหมด จนเมื่อกลับไปถึงยังสถานีโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตัดต่อได้นำภาพมาเปิดกระทั่งเห็นภาพเหตุการณ์ขณะพลทหารณรงค์ฤทธิ์โดนยิงเสียชีวิต และได้นำภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไปออกรายการข่าวของช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี
         และในเวลาต่อมาก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา สามารถจับภาพของชายชุดดำพร้อมอาวุธปืน ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ ที่เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับคนเสื้อแดง ที่หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงข่าวการตรวจยึดอาวุธระเบิดเอ็ม 79 ซึ่ง ตรวจยึดได้บนถนนวิภาวดี-รังสิต ทิศทางขาเข้า บริเวณหน้าฐานทัพอากาศดอนเมือง หลังหตุการณ์การปะทะกันระหว่าง กลุ่ม นปช. กับเจ้าหน้าที่ทหาร
         ผู้ขนอาวุธดังกล่าวเป็นชาย 1 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์มาบนถนนวิภาวดี-รังสิต ทิศทางขาเข้า เมื่อใกล้ถึงด่านตรวจของทหารอากาศสนธิกำลังกับกองกำกับการจราจร ได้ขับรถหนี ก่อนจอดรถแล้ววิ่งหนี โดยทิ้งถุงสีดำไว้ เจ้าหน้าที่จึงเข้าสอบรถคันดังกล่าว เป็นจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีแดง ทะเบียน พขน 68 กรุงเทพ มีระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก พร้อมเครื่องยิงเป็นประกับ รุ่นเอ็ม 203
         แม้ว่าการตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์จะยังไม่ได้ข้อสรุปในขั้นตอนการไต่สวน แต่จากการลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ต้องพิจารณาว่าการมุ่งแต่จะเอาชนะของแกนนำนปช.ที่สั่งการให้คนเสื้อแดงต่อสู้ด้วยรูปแบบต่างๆ ถึงขั้นบุกไปเผชิญหน้ากับทหาร ล้วนเป็นการตัดสินใจที่ไร้ความรับผิดชอบว่าจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อคนเสื้อแดงและทหารอย่างไรบ้าง ในขณะที่แกนนำต่างหลบอยู่ที่เวที และลูกเมียอยู่ในสถานที่ปลอดภัย...
โดย    TnewsOnline

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น