วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ครม.เงา ปชป. ถล่มรัฐบาลจัดงบพิสดาร สร้างภาพลวงตา เมื่อ 7 มี.ค.56



ครม.เงา ปชป. ถล่มรัฐบาลจัดงบพิสดาร สร้างภาพลวงตา
 
ครม.เงา ปชป. ถล่มรัฐบาลจัดงบพิสดาร สร้างภาพลวงตา จ้องกู้เงินเชื่อทำหนี้สาธารณะพุ่ง 60 % ซัด สบน.แต่งตัวเลขแบบพ่อมดการเงิน เชื่อ รัฐจงใจกู้ลงทุนหนีระบบงบประมาณ เตรียม ยื่นศาล รธน. ตีความ หากดึงดันให้แบ๊งก์กรุงไทยเปิดวงเงินกู้ 3.5 แสนล้าน หลัง พ.ร.ก.เงินกู้จะครบกำหนด มิ.ย.นี้ ชี้ ขัดเจตนารมณ์กฎหมาย

      ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี โฆษกครม.เงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงผลการประชุมครม.เงาว่า พรรคขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้เลิกการจัดงบภาคพิสดาร หลังจากพิจารณาแผนของรัฐบาลที่มีการตั้งเป้าว่าจะจัดงบประมาณแบบสมดุลในปี 2560 และตั้งเป้าขาดดุลในปี 2557 จำนวน 2.5 แสนล้านบาท พบว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เพราะงบลงทุนเกือบทั้งหมดจะไปอยู่ใน ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเพื่อลงทุนระบบราง เท่ากับงบปกติจะมีเพียงงบเงินเดือน นอกนั้นจะไปอยู่ใน ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านและ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ระบบการตรวจสอบงบประมาณรวนทั้งระบบ
      ทั้งนี้ในการใช้จ่ายเงินลงทุนของรัฐบาลที่อ้างว่าจะไม่การกู้เงินในคราวเดียวกันแต่จะทยอยกู้นั้นทำให้จะมีการใช้เงินลงทุนปีละประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะจัดสรรในงบประมาณปกติได้ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการงบประมาณภาคพิสดารด้วยการออก พ.ร.บ.และพ.ร.ก.กู้เงินโดยสามารถจัดงบแบบขาดดุล และประหยัดงบประมาณจากโครงการอื่น เช่นโครงการรับจำนำข้าว หากยุติโครงการก็จะประหยัดเงินขาดทุนได้ปีละ 2 แสนล้านบาท


       นายอรรถวิชช์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมครม.เงา ได้ประเมินด้วยว่าหากมีการกู้เงินตามแผนของรัฐบาล จะทำให้หนี้สาธารณะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์อาจแตะถึง 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหรือสบน.กลับนำเสนอตัวเลขและเหตุผลในการยืนยันว่าหนี้สาธารณะไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์นั้นอยู่บนสมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้คือ เศรษฐกิจไทยจะโตเฉลี่ย 7.5 % ทุกปี และหลังปี 2556 การจำนำข้าวจะไม่ขาดทุน ครม.เงาเห็นว่าการอธิบายด้วยตัวเลขดังกล่าวเป็นเหมือนเป็นวิธีการของพ่อมดการเงินเพื่อหลอกลวงประชาชนว่าจะไม่เกิดความเสียหายจากการกู้เงินจำนวนมากนอกระบบงบประมาณ และเชื่อว่าการจัดตัวเลขของ สบน.นั้นเกิดจากนโยบายของฝ่ายการเมือง และอยากเตือนว่าความไม่ชัดเจนของ พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ที่มีการเปิดวงเงินไว้แล้ว 1 หมื่นล้านบาทแต่มีการเบิกจ่ายจริงเพียงแค่ 6 พันล้านบาท


       ในขณะเดียวกันก็กำลังจะครบกำหนดระยะเวลาที่ต้องกู้เงินภายในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งไม่เชื่อว่าจะมีการกู้เงินได้ทัน และถ้ามีการใช้รูปแบบลงนามร่วมกับธนาคารกรุงไทยเพื่อให้เปิดวงเงินเต็มจำนวนไว้ก่อน แต่จะคิดดอกเบี้ยเมื่อมีการเบิกจ่ายจริงนั้น จะถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.ก.และพรรคประชาธิปัตย์จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นนี้ด้วย
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น