วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวภาคใต้ เมื่อ 7 มี.ค.56





ชื่อเรื่อง อดีต BRN เล่าประวัติ ตอยิบ แจงเหตุเชื่อมั่น ทักษิณ
 ผู้เขียน  -
 แหล่งข่าวหลัก แนวหน้า
 คอลัมน์ข่าว Breaking News
 URL http://www.naewna.com/politic/44001
 เนื้อหา6 มีนาคม 2556 สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "อดีตบีอาร์เอ็น"เล่าประวัติ"ฮัสซัน ตอยิบ" แจงเหตุเชื่อมั่น"ทักษิณ"-แย้มเคยบินถกดูไบ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
เสียงวิจารณ์และคำถามที่เกิดขึ้นทันทีภายหลังการลงนามครั้งประวัติศาสตร์ของหัวหน้าส่วนราชการที่คุมงานด้านความมั่นคงของไทย กับ นายฮัสซัน ตอยิบ ที่อ้างว่าเป็นผู้แทนขบวนการบีอาร์เอ็น ในข้อตกลงริเริ่มเข้าสู่กระบวนการพูดคุยสันติภาพ ก็คือ คนที่มาปรากฏตัวและร่วมลงนามนั้นเป็น "ตัวจริงหรือเปล่า?"
นับจากวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.พ.2556 ซึ่งเป็นวันจับมือลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และปรากฏเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก จนถึงวันนี้ก็ 1 สัปดาห์แล้ว แต่คำถามและข้อข้องใจต่างๆ ก็ยังมิคลายลง โดยเฉพาะคำถามสำคัญที่สุดคือ "ตัวจริงหรือเปล่า?"
"ทีมข่าวอิศรา" จึงขอนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากบทสัมภาษณ์พิเศษอดีตแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น หรือ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani) ซึ่งเคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับ นายฮัสซัน ตอยิบ หรือที่เรียกกันในหมู่คนรู้จักว่า อาแซ ตอยิบ เพื่อบอกเล่าประวัติของนายฮัสซัน และเส้นทางของขบวนการบีอาร์เอ็น บางช่วงบางตอนทำให้เห็นถึงการทำงานขยายฐานมวลชนของขบวนการปฏิวัติมลายูองค์กรนี้ และที่สำคัญที่สุดคือเบื้องหลังของกระบวนการสันติภาพที่กำลังก่อร่างขึ้นท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนจำนวนมาก
การพูดคุยสัมภาษณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ สถานที่ปิดลับแห่งหนึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การสัมภาษณ์ทั้งหมดใช้ภาษามลายูถิ่นปัตตานี และถอดความโดย "ทีมข่าวอิศรา" โดยอดีตแกนนำบีอาร์เอ็นผู้นี้ ขอใช้นามแฝงว่า "นายโฮป" เขาออกจากขบวนการมานานพอสมควรจากความจำเป็นทางครอบครัว
อย่างไรก็ดี จากข้อมูลหลายแหล่งที่ "ทีมข่าวอิศรา" ตรวจสอบ รวมถึงแนวร่วมรุ่นใหม่ในพื้นที่ ล้วนยืนยันตรงกันว่า "นายโฮป" คือผู้ที่เคยร่วมหัวจมท้ายอยู่กับขบวนการบีอาร์เอ็นในยุคหนึ่งจริง
O อุสตาซฮัสซัน ตอยิบ เป็นใคร?
นายฮัสซัน ตอยิบ คือคนเดียวกับ อาแซ ตอยิบ เคยมีตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. (ผู้นำทางทหาร) ของขบวนการบีอาร์เอ็นรุ่นที่ 13 ฉะนั้น อาแซ ตอยิบ จึงเป็นตัวจริง คิดว่าหลังจากที่มีการลงนามในข้อตกลงก็น่าจะมีเสียงตอบรับที่ดีสำหรับฝ่ายขบวนการ เพราะอาแซ ตอยิบ ถือเป็นมือหนึ่ง สถานะของเขารองจากหัวหน้าพรรค คือ สะแปอิง บาซอ (อดีตครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา ซึ่งข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงระบุว่าเป็นหัวหน้าขบวนการบีอาร์เอ็นโดออร์ดิเนต) และ สะแปอิง บาซอ ให้ความไว้วางใจและนับถือ อาแซ ตอยิบ มาก
O ทำไมหลังลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการสันติภาพแล้ว สถานการณ์ในพื้นที่จึงยังมีความรุนแรงอยู่?
เหตุการณ์ก็จะไม่สงบลงทันทีหลังจากพูดคุย เพราะใครๆ ก็รู้ว่าคนที่ก่อเหตุในพื้้นที่ไม่ได้มีบีอาร์เอ็นกลุ่มเดียว แน่นอนจะต้องมีเหตุระเบิด เหตุยิงรายวันเหมือนเดิมไปอีกระยะ จนกว่าฝ่ายขบวนการจะเห็นความจริงใจของรัฐ และรัฐเองได้แสดงความจริงใจออกมาจริงๆ ถ้าถึงตอนนั้นเหตุการณ์ในพื้นที่อาจจะเบาบางลง แต่คงไม่ถึงขั้นสงบไปทั้งหมดเลย เพราะไม่ใช่บีอาร์เอ็นเท่านั้นที่ก่อเหตุในพื้นที่
O อยากให้เล่าประวัติของ ฮัสซัน ตอยิบ
ผมรู้จัก อาแซ ตอยิบ ตั้งแต่ 30-40 ปีก่อน สมัยบีอาร์เอ็นแตก (ราวปี พ.ศ.2520) และกำลังอยู่ในช่วงฟื้นขบวนการใหม่ ตอนนั้นเมื่อขบวนการแตกก็ทำให้แต่ละคนแยกย้ายไปทำภารกิจของตนเอง ตอนที่อยู่ข้างใน (หมายถึงในขบวนการ) อาแซ ตอยิบ เคยเล่าให้ฟังว่าเขาเริ่มเข้าขบวนการตั้งแต่อายุ 18 ปี ตอนแรกๆ ไปเรียนที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้รับการวางตัวว่าให้กลับมาผู้นำสายกองทัพ เมื่อเรียนจบก็กลับประเทศไทย อยู่ได้ไม่นานก็ไปมาเลเซียเพื่อรับตำแหน่ง
สมัยนั้นการเดินทางจะใช้เรือเป็นหลัก ผมเป็นคนไปรับเขาที่ท่าเรือบ่อยๆ ตอนนั้นคนในพื้นที่ยังไม่ได้รู้จัก อาแซ ตอยิบ ว่าเป็นคนในขบวนการ และเขาเองก็ไม่ได้ใช้ชื่อ อาแซ ตอยิบ ส่วนใหญ่เราใช้ชื่อสัตว์เป็นรหัสหรือฉายาเวลาทำงานให้กับขบวนการ
เท่าที่จำได้ อาแซ ตอยิบ เล่าว่าช่วงที่อยู่ในพื้นที่ (ฝั่งไทย) เขาเดินสายสอนหนังสือแทบทุกปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการตระเวนสอน และยังได้ก่อตั้งโรงเรียนตาดีกาขึ้นมา ทำให้ในพื้นที่มีการเรียนการสอนระบบตาดีกา ต่อมาคนในพื้นที่เริ่มรู้จักเขา ทำให้เขาต้องไปอยู่มาเลเซีย โดยไปลงเรือที่ท่าเรือปัตตานี แถวๆ หนองจิก (อำเภอหนึ่งของ จ.ปัตตานี)
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ก็นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน เชื่อว่า อาแซ ตอยิบ ยังคงเปิดร้านรับจ้างขูดมะพร้าวเพื่อไปทำกะทิ เพราะตอนที่ขบวนการแตก หลายคนก็ทำงาน ขายลูกชิ้นบ้าง ขายปลาบ้าง ต่อมาเมื่อฟื้นขบวนการก็อยู่กันปกติ ไม่ได้หลบซ่อน
O กระบวนการสันติภาพเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร?
ผมไม่ทราบจุดเริ่มต้นที่ชัดเจน แต่รู้ว่าการเปิดเวทีพูดคุยทำให้คนในขบวนการชื่นชมทักษิณมาก (หมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย) เพราะเป็นผู้ชายคนแรกที่กล้ามาพูดคุยกับบีอาร์เอ็น และทำให้สังคมโลกรู้ว่าจริงๆ แล้วรัฐไทยยอมรับว่าขบวนการนี้มีอยู่จริง ไม่ได้ลอยๆ อย่างในอดีต
O ทำไมที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงไทยบางส่วนระบุว่า ฮัสซัน ตอยิบ เป็นแกนนำพูโล โดยเฉพาะช่วงที่เข้าพบและพูดคุยกับคุณทักษิณที่มาเลเซียเมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว?
จริงๆ เขาเป็นแกนนำบีอาร์เอ็นตลอด ไม่เคยเปลี่ยน แต่รัฐมั่วเอง ไปใส่ประวัติว่าเป็นพูโล ตอนนี้มาเลย์ก็ยืนยันแล้วว่าเป็นแกนนำบีอาร์เอ็น รัฐเองก็น่าจะเข้าใจแล้ว
O กระบวนการสันติภาพหลังจากนั้นเป็นอย่างไร?
          จริงๆ ครั้งแรกของการพูดคุยไม่ได้เกิดขึ้นแค่ช่วงปีสองปีนี้ จริงๆ เกิดขึ้นมานานแล้ว ครั้งแรกที่มีการพูดคุยระหว่างทักษิณกับกลุ่มของ อาแซ ตอยิบ ไปคุยกันที่ดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) โดยมีคนของดูไบเป็นคนกลาง และหลังจากนั้นก็มีการคุยกันอีกหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่สาม ไม่ได้คุยในประเทศที่เขาหลบซ่อน (หมายถึงฝ่ายบีอาร์เอ็นใช้เป็นที่พำนัก เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย)
O ทำไมขบวนการบีอาร์เอ็นถึงไว้ใจคุณทักษิณ ทั้งๆ ที่มีกระแสว่าคนสามจังหวัดไม่เอาอดีตนายกฯคนนี้?
สาเหตุที่เขาไว้วางใจทักษิณ และไม่ได้วางใจพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมองว่านโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางยอมตามข้อเสนอของขบวนการได้เลย แต่สำหรับทักษิณ มีการแหกโค้งและข้ามช่องโหว่ต่างๆ ได้ ทักษิณมีข้อดีตรงจุดนี้ และเมื่อทักษิณยอมพูดคุย ทำให้แกนนำเชื่อในตัวทักษิณ และยอมที่จะพูดคุยด้วย เพราะขบวนการเองก็ไม่อยากใช้ความรุนแรง อยากให้เกิดความสงบสุข
O เป้าหมายสุดท้ายของขบวนการคืออะไร คือแผ่นดินปัตตานีใช่หรือไม่?
เราวางหลักการเอาไว้ว่าจริงว่าต้องแผ่นดินเท่านั้น จุดจบทั้งหมดต้องแผ่นดิน แต่ถ้าหากรัฐมีความจริงใจ ทำอะไรให้หลายๆ อย่างแก่คนในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นธรรม เป้าหมายสูงสุดของขบวนการอาจไม่ใช่แผ่นดินก็ได้
ผมอยากให้หลายๆ คนเข้าใจ เพราะการที่ทุกคนให้ความหมายว่าต้องแผ่นดินเท่านั้น มันจะต้องหมายถึงการเสียเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก จะต้องมีการแตกหัก และขบวนการเองก็ไม่ได้มีนโยบายที่จะแลกเลือดเนื้อของพี่น้องเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการหรือในสิ่งที่ทางกลุ่มปักธง
O ทำไมบีอาร์เอ็นถึงเคยแตกมาครั้งหนึ่ง?
ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องการแย่งชิงอำนาจ ไม่ไว้วางใจกัน แกนหลักๆ ก็ต้องหนีไปมาเลย์ อยู่อย่างอดอยาก จากนั้นพวกเขาก็ไปหา สะแปอิง บาซอ ปรากฏว่าสะแปอิงให้กำลังใจ บอกกับพวกเขาว่า พระเจ้าจะไม่ให้เราตายเพราะอด ทุกคนได้ฟังแล้วก็มีกำลังใจและเดินหน้าต่อ จนสามารถต่อสู้ได้จนถึงทุกวันนี้
O โครงสร้างของบีอาร์เอ็นประกอบด้วยฝ่ายใดบ้าง?
สูงสุดคือศาสนา รองลงมาคือพรรค และคนที่อยู่สูงสุดแต่ใต้พรรค คือ สะแปอิง บาซอ แขนซ้ายของ สะแปอิง คือ อาแซ ตอยิบ ดูแลฝ่ายทหาร แขนขวาคือฝ่ายมหาดไทย แต่ผมไม่ขอออกชื่อ คนเหล่านี้อยู่นอกประเทศไทย และมีรองที่อยู่ในพื้นที่ คอยรับนโยบายจากทางพรรค แล้วก็กระจายลงไปยังระดับจังหวัด อำเภอ จากนั้นฝ่ายปฏิบัติก็จะแบ่งงานกันว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่
O ทำไมถึงออกจากขบวนการ?
ตอนนั้นแม่ของภรรยาเสียชีวิต และภรรยามีน้องที่พิการ ต้องดูแล เมื่อแม่เขาตายก็ไม่มีใครช่วยดูแล ภรรยาก็บอกว่าต้องกลับบ้านแล้วนะ (ขณะนั้นนายโฮปกับภรรยาอยู่มาเลเซีย) จากนั้นภรรยาก็กลับบ้าน ผมก็คิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตามกลับมา
ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าขบวนการสั่งการจากข้างนอกได้ และตัวเราเองก็แก่แล้ว จึงขอวางมือ ก็เข้าไปคุยกับข้างใน เขาก็ว่าวางมือก็ได้ แต่รู้ใช่ไหมว่าควรทำอย่างไร ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า และหลังจากนี้ข้างในจะไม่เชื่อถืออีกแล้ว ผมก็รับปาก หลังจากนั้นก็กลับมา และอยู่ในพื้นที่ตลอด แต่ก็ยังทราบข่าวคราวของพรรคพวกเป็นระยะ
O การพูดคุยสันติภาพมองว่ามีความหวัง แล้วมาตรการที่รัฐเตรียมเอาไว้สำหรับกลุ่มติดอาวุธที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างใน อย่างมาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ คิดว่าพอไปได้หรือไม่?
เรื่องข้อเสนอ เงื่อนไข และวิธีการปฏิบัติหลังจากพูดคุยเจรจาคงต้องมาคุยกัน แต่เรื่องมาตรา 21 ผมเห็นว่าสมัยก่อนรัฐก็ใช้วิธีการคล้ายๆ กันนี้สมัยแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ (มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ให้ผู้ที่เคลื่อนไหวอยู่วางอาวุธกลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย) มันเคยมีปัญหาเมื่อระดับนโยบายสั่งว่าให้ใช้ระบบนี้ ระดับข้างล่างอยากจะทำผลงานก็เลยต้องมีค่าหัว (หมายถึงต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่หากจะเข้ากระบวนการ) ในอดีตเขาทำกันแบบนี้
ฉะนั้นถ้ารอบนี้ที่เปลี่ยนมาใช้มาตรา 21 ยังมีปัญหาแบบเดิมอีก จะไม่มีอะไรดีขึ้น เท่าที่ผมทราบ เริ่มกระบวนการยังไม่ทันไรก็เริ่มมีค่าหัวแล้ว มีค่าจัดฉากหลายๆ อย่าง มีการนำคนที่ไม่ได้เป็นขบวนการแต่อ้างว่าเป็น ถึงขนาดซื้ออาวุธไปฝัง แล้วบอกว่าเป็นอาวุธปืนที่เตรียมใช้ก่อเหตุรุนแรง ถ้ารัฐทำแบบนั้น มาตรา 21 จะล้มเหลวไม่ได้ผล เพราะคนที่ออกมาไม่ใช่ของจริง

หมายเหตุ : ข้อเขียนชิ้นนี้เป็นการสัมภาษณ์พิเศษ เนื้อความต่างๆ ที่พาดพิงถึงบุคคลที่สามหรือองค์กรต่างๆ จึงเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้ให้สัมภาษณ์ ไม่ใช่ความเห็นของศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา
 ภาพประกอบ [1]
นายโฮป (นามสมมติ) อดีตแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น
 วันที่เผยแพร่ 7 มี.ค. 2556
 วันที่บันทึกข้อมูล 7 มี.ค. 2556


ชื่อเรื่อง โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้ระยะหลัง คนร้ายมักก่อเหตุร้ายโดยใช้ระเบิด
 ผู้เขียน  -
 แหล่งข่าวหลัก Songkhlatoday
 คอลัมน์ข่าว ทั่วใต้
 URL http://songkhlatoday.com/paper/99709
 เนื้อหาโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้ ระยะหลัง คนร้ายมักก่อเหตุร้าย โดยใช้ระเบิด เพราะสามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ไม่น่าเกี่ยวกับกรณีการตอบโต้กรณีรัฐบาลทำข้อตกลง บีอาร์เอ็น วันนี้ ( 7 มี.ค.) ที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.(พิเศษ) ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวในเรื่องนี้ว่า ในรูปแบบการก่อเหตุร้าย โดยใช้ระเบิด ทางกลุ่มคนร้ายเองก็ยังไม่เคยเปลี่ยนรูปแบบ ที่ผ่านมาจากการรวบรวมทางสถิติ ก็มีอยู่ 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ การวางระเบิดแบบฝั่งไว้ใต้พื้นถนน มีเป้าหมายหลัก คือ การลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ที่เดินทางโดยใช้รถยนต์ หรือ ยานพาหนะ เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีความพยายามในการแก้ปัญหาในด้านนี้อยู่ โดยการลาดตระเวนแบบเดินเท้า แต่ก็ค่อนข้างที่จะมีความยากลำบาก เพราะการเคลื่อนกำลังมีระยะทางที่ไกล ในแบบที่ 2 กลุ่มคนร้ายใช้ระบิดแบบแสวงเครื่อง ไปประกอบในรถ จักรยานยนต์(จยย.บอมบ์) และ รถยนต์ (คาร์บอมบ์) ส่วนใหญ่เป้าหมายที่จะนำ จยย.บอมบ์ และ คาร์บอมบ์ ส่วนใหญ่กลุ่มคนร้ายจะนำมาใช้ก่อเหตุในพื้นที่เมือง ย่านการค้า เพื่อต้องการทำลายระบบเศรษฐกิจ และ สร้างภาพให้ปรากฏเป็นข่าว เพราะกลุ่มคนร้ายได้เคยทำสำเร็จมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง อย่างที่เป็นข่าวแพร่ออกไป ซึ่งครั้งที่ทำให้ประชาชนมีความจดจำ คือ กรณีเหตุการณ์คาร์บอมบ์ ใต้ห้างสรรพสินค้าโรงแรม ลีการ์เด้น พลาซ่า อ. หาดใหญ่และทีเมืองยะลา เมื่อเดือนวันที่ 31 มีนาคม ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นลักษณะการวางระเบิดของคนร้ายยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบ แต่ในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะที่ปัตตานี คนร้ายพยายามทำในรูปแบบระเบิดขนาดเล็กเพื่อสะดวกในการขนย้ายและซุกซ่อนในตัวได้ง่ายและมีเป้าหมายที่จะให้เกิดเพลิงไหม้ มีการนำน้ำมันเบนซินเป็นวัตถุในการประกอบด้วย แม้กระทั่งเหตุการณ์ล่าสุด เหตุที่เกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นความโชคดีที่ระเบิดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ วันนั้นมีการนำถังน้ำมันเบนซินมาไว้ในท้ายรถด้วย 2 ถังๆ ละ 30 ลิตร ดังนั้นการวางระเบิดทั้ง จยย.บอมบ์ หรือ คาร์บอมบ์ จะมีเป้าหมายเป็นพื้นที่ผ่านชุมชนเป็นหลัก เพื่อทำลายเศรษฐกิจและสร้างให้เป็นข่าว ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าคนร้ายก่อเหตุเพื่อเป็นการตอบโต้การเจาราหรือไม่อย่างไร นั้น โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า การก่อเหตุของคนร้าย นั้น จะทำต่อเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีทางหนีที่ปลอดภัย ดังนั้น ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการตอบโต้หรือไม่ อย่างไรก็ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการและให้นโยบายมานั้น ทาง ทหารได้พยายามที่แก้ปัญหาโดยสันติวิธี ในระดับนโยบายก็มีการพูดคุยไปในระดับนโยบาย แต่ในระดับปฏิบัติเองก็ได้ขับเคลื่อนเพื่อสร้างสันติภาพมาเป็นเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจกับคนที่มีความเห็นต่างกัน เห็นได้ว่าในช่วงหลังมา คนที่มีความเห็นเห็นต่าง ได้ออกมาพูดคุยกัน ในเมื่อในระดับนโยบายมีความชัดเจนมากขึ้น เขาก็มีความเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ยุติความรุนแรง ซึ่งเป็นแนวทางการสร้างสันติภาพร่วมกันในพื้นที่ ซึ่งวิธีการแบบนี้จะได้รับการสนับสนุนทุกฝ่าย ส่วนที่ว่าจะเป็นประเด็นการตอบโต้หรือไม่สามารถที่ชัดได้ ในมาตรการการดูแลความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง ท่าน ผบ.ทบ.ได้กำชับย้ำมาตลอด ในจิตวิญญาณ ของ จนท.ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง มีหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ทำให้บางครั้งลืมในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยของตัวเอง ในช่วงหลัง เจ้าหน้าที่มีความตระหนักมากขึ้น โดยได้มาด้วยการฝึก การอบรมมาและต้องอยู่ในความไม่ประมาท ปัจจุบัน เมื่อมีการข่าวออกมา ทางทหาร ก็จะมาเน้นในเรื่องของการดูแลในเขตเศรษฐกิจ ใน 7 หัวเมืองสำคัญ เพราะแนวทางที่คนร้ายต้องการทำนั้น เป็นการทำเพื่อเป็นข่าว ด้วยการเข้าทำลายในย่านเขตเศรษฐกิจ อย่างกรณีวันที่ 2 ก.พ.56 ที่ผ่านมา คนร้ายพยายามที่จะนำไปก่อเหตุในเขตเทศบาลนครยะลา แต่ด้วยการมีมาตรการที่เข้ม จึงไม่สามารถนำเข้าไปได้ จึงก่อเหตุในพื้นที่นอกเขตเมืองเป็นต้น อย่างไรก็ดีทางทหารก็ไม่ประมาท ต้องเฝ้าระวังโดยตลอด
 ภาพประกอบ [1]
 วันที่เผยแพร่ 7 มี.ค. 2556
 วันที่บันทึกข้อมูล 7 มี.ค. 2556


ชื่อเรื่อง โจรใต้ล้างแค้น งัดเอ็ม16กราดยิงสายข่าว ดับอนาถคารถ
 ผู้เขียน  -
 แหล่งข่าวหลัก สยามรัฐ
 คอลัมน์ข่าว อาชญากรรม
 URL http://www.siamrath.co.th/web/?q=โจรใต้ล้างแค้นงัดเอ็ม-16-กราดยิงสายข่าวราชการตายอนาถคารถ
 เนื้อหาเมื่อวันที่ 7 มี.ค.56 พ.ต.ต.พริยา เจตวรานนท์ สว.สภ.ปะนาเระ รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันตาย ที่หน้าบ้านเลขที่ 128/4 ม.8 บ้านแหลมแป้ง ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี จึงรุดไปครวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิวัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ตำรวจพิสูจน์หลักฐานปัตตานี และกำลังตำรวจ ทหาร พบ รถยนต์เก๋งนิสสัน ซันนี่ สีเงิน ทะเบียน กข 4530 นราธิวาส สภาพมีรอยถูกยิงพรุนทั้งค้น ภายในรถพบผู้เสียชีวิตตายคาพวงมาลัย ทราบชื่อ นายสะรี เจ๊ะอาลี อายุ 42 ปี เป็นเจ้าของบ้านหน้าที่เกิดเหตุ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปีนสงครามเอ็ม 16 ถูกบริเวณศรีษะ ลำตัว พรุนทั้งตัว นอกจากนั้นบนพื้นถนนหน้าบ้านพบปลอกกระสุนปืน เอ็ม 16 จำนวน 22 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมเก็บหลักฐานเพื่อพิสูจน์ต่อไป
     จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตาย ขับรถยนต์ กลับมาจากฟังสอนศาสนา พอถึงที่หน้าบ้าน ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ซุ่มในป่าละเมาะ ตรงข้ามบ้าน ได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 กราดยิงรถยนต์พรุนทั่งคัน กระสุนปืนถูกนายสะรี ที่บริเวณลำตัวและศรีษะพรุนทั้งลำตัว นอกจากนั้นคนร้ายเข้ามายิงซ้ำอีก จนเสียชีวิตคารถ ค้นตัวผู้ตายมีบัตร ทางราชการ ทั้งทหาร ตำรวจ โดยมีระดับผู้บังคับบัญชาเป็นคนเซ้นรับรอง เป็นงานด้านการช่วยเหลือด้านการข่าว นอกจากนั้นผู้ตายเคยถูกจับคดีติดยาเสพติด เมื่อเดือนธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งในเบื้องต้น เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่ยิงประชาชนที่เป็นสายข่าว แจ้งเบาะแสของกลุ่มคนร้าย.
 ภาพประกอบ [1]
 วันที่เผยแพร่ 7 มี.ค. 2556
 วันที่บันทึกข้อมูล

 7 มี.ค. 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น