วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

สรุปข่าวที่น่าสนใจจาก นสพ.เมื่อ 5 มี.ค.56




สรุปข่าวที่น่าสนใจ
“ชายหมู” ลุ้นกกต.ร้อง 2 คดีปราศรัยใส่ร้าย!
พล.ต.ท.ทวีศักดิ์  ตู้จินดา  ประธาน กกต. กทม. กล่าวภายหลังประชุม กกต. กทม.ว่า ที่ประชุมรับทราบผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จากผอ.เลือกตั้งประจำท้องถิ่น กทม.และมีมติเสนอ เรื่องพร้อมความเห็นไปยัง กกต.กลางในวันเดียวกันนี้ เพื่อให้พิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ตามมาตรา 92 และ 95 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 พร้อมทั้งแนบรายงานกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีเรื่องถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปราศรัยใส่ร้าย ตามมาตรา 57 (5) ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ที่ กกต.รับไว้เป็นคำร้องคัดค้าน รวม 2 เรื่อง โดย กกต.มีอำนาจพิจารณารับรองผล ภายใน 7 วัน นับจากวันเลือกตั้ง คือภายในวันที่ 8 มี.ค.นี้ หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ขอให้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ทั้ง 25 ราย ยื่นแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายการเลือกตั้งกับทางกกต. กทม.ภายใน 90 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง หากพบว่ามีการใช้จ่ายเกินกว่า 49 ล้านที่ กกต. กทม. กำหนด หรือไม่แจ้งบัญชีรายรับรายจ่าย จะถือเป็นความผิดที่อาจทำให้ กกต. สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  วันที่  05/03/2013
ตะลึงพบเกือบพันร่วมทุจริตสอบครู
นายเสริมศักดิ์  พงษ์พานิช  รมช.ศึกษาธิการ  กล่าวว่า  ขณะนี้ยังรอผลการสอบสวนกรณีปัญหาการทุจริตสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยจากดีเอสไออยู่ คาดว่าน่าจะได้รับผลทันก่อนการประชุม ก.ค.ศ.นัดพิเศษ หากผลการสรุประบุว่ามีการทุจริต ก็เห็นว่าเป็นเหตุผลที่จะยกเลิกการสอบได้ แม้ว่าจะมีการเรียกบรรจุไปแล้วก็ตาม เพราะตามที่ได้ประเมินจากข้อมูลต่างๆที่ได้รับมาเชื่อว่า น่าจะมีผู้ที่เข้าร่วมขบวนการทุจริตนี้ครึ่งหนึ่งคือประมาณเกือบ 1,000 คน จากที่มีการสอบบรรจุประมาณ 2,000 อัตรา นอกจากนี้จะเสนอให้มีการเลื่อนการสอบครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ที่จะมีขึ้นในเดือน เม.ย.นี้ด้วย  ที่ดีเอสไอระบุว่า จะมีการสอบผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง 7 แห่งนั้น ยังไม่ทราบข้อมูลว่ามีที่ไหนบ้าง ส่วนที่มีข่าวว่าข้าราชการในเขตพื้นที่ไม่กล้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง การขัดขวางหรือไม่ยอมให้ข้อมูลกับคณะกรรมการฯ ถือเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่เป็นความผิด
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  วันที่  05/03/2013
ปั่นเผาเมือง – ข่าวปล่อยปม “จูดี้” แพ้เฉลิมใบ้ 7 วันตามสัญญา
นายจารุพงศ์  เรืองสุวรรณ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  (พท.) กล่าวว่า  ขอบคุณชาว กทม.ที่สนับสนุน พท. และพรรคยอมรับมติประชาชน อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์คะแนนที่ได้รับถือว่าไม่ขี้เหร่  พท.ทำตามที่กำหนดไว้ทุกอย่าง คือ ขายนโยบาย ความรู้ความสามารถเต็มที่ ขาดอย่างเดียวคือคะแนนจัดตั้ง เพราะ ส.ก.ของ ปชป.มีอยู่ถึง 40 กว่าคน ถือเป็น 2 ใน 3 ของสภา กทม. มีการบริหารจัดการโยงไปถึง ส.ข. จึงเป็นตัวชี้ให้เห็นว่าต้องแก้ไขปรับปรุงในเรื่องฐานคะแนนให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก และในส่วนของพท.จะเก็บตัวเลขไปวิเคราะห์วางยุทธศาสตร์ใหม่  เมื่อถามว่า มีการวิเคราะห์ว่า พท. พลาดในโค้งสุดท้าย ถูกโจมตีหนัก และไม่มีการปฏิเสธในกระแสข่าวนายจตุพร  พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. มาเป็นรองผู้ว่าฯกทม. ถือว่าเป็นจุดที่ผิดพลาดหรือไม่ นายจารุพงศ์  กล่าวว่า  ปชป.เก่งในเรื่องการประดิษฐ์วาทกรรมที่ทำแล้วได้ผล รวมถึงมีปัจจัยอื่นๆ แทรกด้วย ส่วนกรณีรองผู้ว่าฯกทม. นายจตุพรได้ออกมาปฏิเสธไปก่อนหน้าแล้ว แต่เสียงไม่ดังเท่าที่ประโคมกันออกมา นอกจากนี้มีปัจจัยอื่นหลายอย่าง คือ ปชป.เป็นพรรคเก่าแก่ครอง กทม.มานานรากฐานลึกส่วน พท. เสนอนโยบายหาเสียงตามสื่อต่างๆได้ดีแต่แพ้ทุกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังตึกสำนักงานเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยยิ้มทักทายกับสื่อมวลชนที่มารอสัมภาษณ์พร้อมทั้งชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “เคารพการตัดสินใจของประชาชน”  เมื่อถามถึงกรณีที่เคยระบุว่าจะงดให้สัมภาษณ์ 10 วัน หาก พล.ต.อ.พงศพัศ แพ้การเลือกตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวสั้นๆว่า จะงดให้สัมภาษณ์ 7 วันจากนั้นก็เดินเข้าห้องประชุมไปทันที   (หนังสือพิมพ์มติชน)
นายนพดล   ปัทมะ  ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ผ่านมาว่า  แม้การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะไม่สมหวังแต่เราจะไม่ท้อถอย เราจะเดินหน้าต่อไป ส่วนข้อกล่าวหาที่โจมตีพรรคเพื่อไทยในช่วง 3-4 วันสุดท้าย ทั้งการปล่อยข่าวนายจตุพร  พรหมพันธุ์  แกนนำคนเสื้อแดง จะมาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. การสร้างวาทกรรมกินรวบผูกขาดประเทศไปจนถึงการเผาบ้านเผาเมืองผมมองว่ามีผลกับผู้สมัครของเรามากพอสมควร แต่ท้ายที่สุดเราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน การเมืองย่อมมีแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา  (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)
ไมไว้ใจ – เลือกข้าง – ตอบมั่ว ทำโพลเพี้ยน
นายสุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และในฐานะประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล  กล่าวถึงข้อผิดพลาดของผลโพลผู้ว่าฯกทม.ที่ไม่ตรงกับผลการเลือกตั้ง ว่า มีผลมาจากหลายประเด็น  1.โพลมีการแข่งขันสูงจึงทำให้ผู้เก็บข้อมูลไม่สามารถกระจายไปยังกลุ่มตัวอย่างได้ครอบคลุม 2.ความคิดเห็นของคนที่แบ่งเป็นหลายระดับ และมองการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เป็นการเลือกตั้งระดับชาติ 3.การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง ทำให้คนไม่กล้าตอบตามใจ 4.เมื่อสำรวจแล้วได้คำตอบมาไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้ง 4 ประเด็นถือเป็นความบกพร่องของสำนักโพล  เรื่องดังกล่าว สวนดุสิตโพลได้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อหาสาเหตุความผิดพลาดครั้งนี้แล้ว โดยที่ประชุมพบว่าเมื่อนำทฤษฎีต่างๆ จากต่างชาติเข้ามาใช้ในประเทศไทย ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม สังคม การเมือง จึงพบว่าวิธีเก็บข้อมูลยังมีจุดอ่อนอยู่ ซึ่งต้องใช้จิตวิทยาเพื่อให้ได้ข้อมูลความเป็นจริง นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ข้อสรุปออกมาว่าในการเก็บข้อมูลนั้น นักวิจัยซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการเก็บข้อมูล จะต้องมีความละเอียดมากขึ้น และต้องมีการรายงานปัญหาและอุปสรรคสำหรับการเก็บข้อมูลแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจนวันต่อวัน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์มติชน  วันที่  05/03/2013
บิ๊กพีซีซีรับข้อหาฉ้อโกงนัด 7 มี.ค.นี้
พ.ต.ท.ถวัลย์  มั่งคั่ง  ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงคดีฉ้อโกงการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ว่า คดีฉ้อโกงระหว่างบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด กับบริษัทรับเหมา 20 ราย พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งจากทางบริษัทพีซีซีฯ ว่าจะเดินทางมาพบ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 7 มี.ค. เวลา 09.30 น. โดยผู้บริหารทั้ง 3 คน จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเอง
นายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  กล่าวว่า  พนักงานสอบสวนจะประชุมสรุปสำนวนตรวจเอกสาร ในส่วนความผิด พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และจะส่งสำนวนให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วันที่ 6 มี.ค.
รายงานข่าว แจ้งว่า  ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว ที่ดีเอสไอเตรียมส่ง ป.ป.ช.ในวันที่ 6 มี.ค. เป็นในส่วนของการดำเนินคดีของฝ่ายการเมืองเท่านั้น ส่วน พล.ต.อ.ประทีป  ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)  ที่เสนอจากแยกประมูลรายภาคเป็นรวบประมูลเป็นสัญญาเดียวกัน ดีเอสไอกันไว้เป็นพยาน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์มติชน  วันที่  05/03/2013
ชี้เกมปชป.ชนะผู้ว่าปลุกกลัวสร้างข้าศึกยึดกรุง
นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ว่า ตนไม่แปลกใจที่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯอีกสมัย ถ้า พล.ต.อ. พงศพัศ ชนะจะแปลกใจมากกว่า แต่ที่น่าสนใจคือ พล.ต.อ.พงศพัศก็ได้คะแนนไม่น้อย ห่างกับม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เพียง 1.7 แสนคะแนนเท่านั้น หรือพูดได้ว่า ประชาธิปัตย์ไม่ได้ชนะแบบขาดลอย ซึ่งทำให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้แม้จะเป็นเลือกตั้งท้องถิ่น แต่เป็นการแข่งขันระดับพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคที่ดูเหมือนทิศทางการเมืองไทยจะเป็นไปในทางนี้ อันที่จริงการเลือกตั้งหากมีพรรคใดพรรคหนึ่งชนะเบ็ดเสร็จทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ ตนคิดว่าไม่น่าจะเป็นผลดีเท่าไหร่ เพราะโอกาสที่จะเหลิงในอำนาจและลืมตัวนั้นมีมาก ขณะที่ฝ่ายชนะก็ย่อมต้องระมัดระวัง ตัวสูง และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทำงานเพื่อประชาชนจริงหรือไม่  เมื่อถามว่า วาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง เสียกรุง มีผลต่อการชนะของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ หรือไม่ นายชาญวิทย์  กล่าวว่า มีผล เพราะคนเก่าคนแก่ที่ชื่นชอบประชาธิปัตย์และมีความเป็นอนุรักษนิยมอยู่แล้วจำนวนมาก ต้องออกมาปกป้องเมืองหลวงของเขา จากที่ประชาธิปัตย์ใช้ความกลัวในการหาเสียง ตรงนี้สะท้อนว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ยังเกลียดและกลัวพ.ต.ท.ทักษิณเหมือนเดิม แม้การ หาเสียงของพล.ต.อ.พงศพัศ จะไม่มีภาพพ.ต.ท.ทักษิณเลย แต่ได้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปแล้ว พูดสั้นๆ คือ ก้าวไม่พ้นทักษิณ  การชนะครั้งนี้ ความจริงประชาธิปัตย์ก็แทบจะหืดขึ้นคอเหมือนกัน ต่อไปโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะเล่นเกมด้วยการใช้ความกลัวแบบนี้ต่อไปอีกก็มี เพราะเขาคิดว่าได้ผล ซึ่งระยะยาวโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะปรับตัวใช้วิถีทางอื่นก็ยากขึ้นตามไปด้วย
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า การที่ฝ่ายหนึ่งนำอุดมการณ์เรื่องศัตรูหรือยึดเมืองมาใช้ เพราะต้องการใช้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นอุปลักษณ์ในการทำให้คนกรุงเทพฯรู้สึกว่า กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอกร่วมกัน โดยหว่านล้อมคนกรุงให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู ถือเป็นการใช้อุปลักษณ์แบบสงครามข้าศึกมามองคนในชาติ การชูประเด็นนี้ยิ่งตอกย้ำความแตกแยกของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม ทั้งที่การต่อสู้ทางการเมืองเป็นเรื่องของความคิดและนโยบาย จึงไม่ควรที่ฝ่ายใดจะเอาเรื่องนี้มาทำให้คนหวาดระแวง สะท้อนให้เห็นปัญหาของฝ่ายที่ใช้ว่า ไม่มีผู้นำหรือผู้สมัครที่เชื่อว่าจะสู้ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงไม่มีอุดมการณ์หรือพลังในการรวมคน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ข่าวสด  วันที่  05/03/2013
ศึกมรดกไบคาน – นางเอก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงความคืบหน้าศึกมรดก “ไบคาน” นายสมชาย พงษ์สว่าง หรือหยอง ไบคาน กับนางสาธนา พงษ์สว่าง หรือวันดี ศรีตรัง อดีตนางเอกชื่อดัง หลังน.ส.โซเบดา พงษ์สว่าง ลูกสาวของทั้งคู่ร้องทุกข์กับดีเอสไอ กล่าวหาว่าถูกนางรัศมี คาน ป้าซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของนายสมชาย นำบุคคลมาสวมรอยเป็นภรรยาและลูกของนายสมชาย แล้วร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ยักยอกทรัพย์สินมรดกบางส่วนโดยเฉพาะที่ดินไปขายและไม่แบ่งให้ทายาทโดยชอบธรรม  นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษมอบหมายให้พ.ต.ท.ศันสนะ แก้วทับทิม รองผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 และพนักงานสอบสวนดำเนินการสืบสวน จนพบข้อเท็จจริงว่าหลังนายสมชาย หรือ หยอง ไบคาน ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปี 2545 นางรัศมี พา น.ส.วัชรี จันทร์เทอดไทย และน.ส.ชญานิศ พงษ์สว่าง (ด.ญ.ชญานิศ ในขณะนั้น) โดยอ้างว่าเป็นภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และลูกสาวคนเดียวของนายสมชาย มายื่นเรื่องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดก โดยไม่ได้เอ่ยถึงน.ส.โซเบดา ที่เป็นลูกสาวแท้ๆ พร้อมทั้งพาน.ส.มาลินี พงษ์สว่าง ญาติมาเป็นพยาน โดยมีหลักฐานเพียงใบเกิดหรือสูติบัตรของด.ญ.ชญานิศมาแสดงว่าเกิดในบ้านพักนายสมชาย ที่บ้านเลขที่ 3 ถ.พหล โยธิน ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี  น.ส.โซเบดา ซึ่งพักอยู่จ.เชียงใหม่ บนที่ดินของบิดา ระบุว่าหลังจากนั้นป้ามาให้เซ็นชื่อยกที่ดินบางส่วนให้ แต่ไม่ยินยอมและตัดสินหนีออกจากเชียงใหม่มาร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาและกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพซึ่งได้จัดให้น.ส.โซเบดาและครอบครัวอยู่ในโครงการคุ้มครองพยานจนถึงปัจจุบัน ส่วนนางรัศมี พร้อมคนอื่นๆ ร่วมกันยักยอกทรัพย์มรดกที่ดินจำนวนหลายแปลงเพื่อประโยชน์ของตนและพวก ล่าสุดศาลอาญาอนุมัติหมายจับนางรัศมี ในข้อหาเบิกความเท็จและยักยอกทรัพย์ และน.ส.วัชรีในข้อหาเบิกความเท็จ อนุมัติหมายจับน.ส.มาลินี และน.ส.ชญานิศ ในข้อหาแจ้งความเท็จ,เบิกความเท็จและยักยอกทรัพย์ตามหมายจับลงวันที่ 28 ก.พ. 2556 ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอสืบสวนติดตามความเคลื่อน ไหวและที่หลบซ่อนของผู้ต้องหา จึงจับกุมตัวได้ 3 รายคือน.ส.วัชรี, น.ส.มาลินี และน.ส.ชญานิศ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมาและนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ส่วนนางรัศมีอยู่ระหว่างติดตามตัว
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ข่าวสด  วันที่  05/03/2013
จำคุกตลอดชีวิต – โจ๋ 19 รุมโทรมดญ.14
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายนพรัตน์ หรือโทน เรืองญาติ อายุ 19 ปี ชาวกทม. อาชีพรับจ้าง เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง โดยเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2555  ศาลพิเคราะห์คำเบิกความฝ่ายโจทก์ ซึ่งมีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าสามารถจดจำชายคนที่ 3 เป็นจำเลย ซึ่งมีลักษณะรูปร่างอ้วนดำได้อย่างแม่นยำ โดยจำเลยเองก็ยอมรับเป็นชายคนดังกล่าวจริง อีกทั้งผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำใสร้ายจำเลยให้ต้องรับโทษ ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 วรรคสี่ ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี วางโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะมีอายุ 18 ปีเศษ แต่การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ร้ายแรง กระทำต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงอายุ 14 ปีเศษ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและอนาคต เห็นควรไม่ลดโทษมาตราส่วน อย่างไรก็ตามคำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยไว้ 25 ปี
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ข่าวสด  วันที่  05/03/2013   
สมาชิกกบข.ชุมนุม 26 มี.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ห้องประชุมโรงเรียนปราสาทวิทยาคาร อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ นายเลิศชาย  สุขประเสริฐ  ประธานกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) พร้อมผู้ประสานงาน จ.สุรินทร์ ได้เรียกผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ และตัวแทนข้าราชการครู ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรเครือข่ายสมาชิก กบข.แห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.) ประจำ จ.สุรินทร์ เขต 3 กว่า 50 คน ร่วมแถลงข่าวและประชุมหารือวางแผนเตรียมพร้อมเพื่อนัดหยุดงานชุมนุมเคลื่อนไหวใหญ่ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 26 มี.ค.นี้  พร้อมกับสมาชิก กบข. จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะมีสมาชิกเข้าร่วมชุมนุมจำนวนนับแสนคน เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 5 ข้อ
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์   วันที่  05/03/2013   
เผา 50 จุดป่วนเมืองยะลา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. เวลา 19.50 น. กลุ่มคนร้ายคาดว่าเป็นแนวร่วมอาร์เคเค  ไม่ทราบจำนวน ได้แยกย้ายกันออกก่อเหตุเผายางรถยนต์ และยางรถจยย.ในพื้นที่ จ.ยะลา หลายสิบจุด โดยเฉพาะในเขต อ.เมืองยะลา มีจำนวน 3 จุด ในเขต อ.ท่าสาป จำนวน 2 จุด ที่บริเวณหัวสะพานทางลัดไปต.ลำใหม่ และในพื้นที่ ต.พร่อน อ.เมือง จ.ยะลา จำนวน 3 จุด  นอกจากนี้คนร้ายลักลอบเผาสายเคเบิล สายไฟฟ้านำมาพ่วงต่อกับยางรถจยย. พร้อมตัดต้นไม้ใหญ่ขวางทางในพื้นที่ ต.ลำใหม่ อีก 1 จุด ส่วนในพื้นที่ อ.ยะหา คนร้ายเผายางรถยนต์ และยางรถจยย. บนถนนในหมู่บ้านซีเซะ ม. 5 ต.บาโร๊ะ 1 จุด บ้านละแอ 1 จุด บ้านบาแดรู 1 จุด บ้านบันนังดามา หมู่ 1  ต.กาบัง อีก 1 จุด ในพื้นที่ อ.ธารโต บ้านบ่อหิน 1 จุด บ้านหน้าเกษตร ต.ธารโต 1 จุด บ้านคีรีเขตพร้อมตัดต้นไม้ขวางทาง 1 จุด ส่วนในพื้นที่ อ.รามัน พื้นที่บ้านแยะ  ม. 2 บ้านสะโต บูแกะซืองอ ม.5 ต.อาซ่อง บ้านตอแล ม.3 ต.กายูบอเลาะ บ้านกาลูปัง ต.กาลูปัง และพื้นที่ ต.โกตาบารู พื้นที่ อ.บันนังสตา จำนวน 9 จุด และ อ.กรงปินัง บนถนนสาย 410 ยะลา – เบตง รวมแล้วกว่า 50 จุด นอกจากนี้มีการพ่นสีป้ายบอกทางอีกด้วย โดยมีพื้นที่ อ.เบตง เพียงอำเภอเดียวที่ไม่มีการก่อเหตุ
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์   วันที่  05/03/2013   
ไทยทางผ่านค้าสัตว์ป่า
นายธีรภัทร  ประยูรสิทธิ  รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)  กล่าวภายหลังการประชุมกลุ่มรัฐมนตรีจาก 10 ประเทศ เรื่องอาชญากรรมค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศ มีนายพิทยา พุกกะมาน ผู้ช่วยรัฐมนตรี ทส. เป็นตัวแทน ซึ่งได้มีการรายงานปัญหาอาชญากรรมระหว่างประเทศว่า มีสถานการณ์น่าเป็นห่วง และเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการล่าช้างเพื่อเอางาในแถบแอฟริกา นอแรด เสือโคร่ง และสัตว์ที่มักถูกส่งออกไปตามสวนสัตว์ และละครสัตว์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทต่อปี  สำหรับประเทศไทย ยอมรับว่าถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มที่เป็นทั้งประเทศทางผ่านในการนำเข้าและเป็นปลายทางในการลักลอบค้างาช้างแอฟริกาเข้ามาปะปนกับการทำผลิตภัณฑ์งาช้างของไทย รวมทั้งนอแรด ที่เพิ่งมีคดีของนายจำลอง  แหลมทองไทย เกิดขึ้นช่วงปลายปีที่ผ่านมา และคนไทยรายนี้ถูกศาลแอฟริกาสั่งจำคุกถึง 40 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้ชื่นชมไทยที่มีความพยายามในการแก้ปัญหาทุกอย่างและมีแผนที่ชัดเจน รวมทั้งการทำงานร่วมกับเครือข่ายอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสกัดขบวนการลักลอบ และเตรียมนำเสนอเข้าพิจารณาต่อคณะกรรมาธิการบริหารอนุสัญญาไซเตสครั้งที่ 64 ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ เนื่องจากต้องการให้อีก 6-8 ชาติที่ถูกจับตาจากโลกต่อกรณีการค้างาช้าง ทำแผนป้องกันแบบเดียวกับของรัฐบาลไทย
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่  05/03/2013
ตลาดป่วนคู่แข่งดั๊มพ์ราคา
นายชูเกียรติ  โอภาสวงศ์  นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและประธานกรรมการฮ่วยชวนค้าข้าว  กล่าวว่า  เขาไม่ทราบว่านายโอฬาร ใช้ข้อมูลจากแหล่งใดที่ระบุว่าเวียดนามและอินเดียขาดแคลนสต็อกในการส่งออกข้าวปีนี้ ซึ่งในส่วนของผู้ส่งออกยืนยันข้อมูลที่ได้แถลงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยอินเดียจะส่งออกปีนี้ที่ 7.5 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามส่งออกไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านตัน “ผมอยู่ที่เวียดนามขณะนี้ ผลผลิตข้าวเวียดนามดีมากกว่าที่คาดกัน ทำให้เขาต้องเร่งระบายออก ขณะที่ผู้ซื้อหลักประกาศชะลอนำเข้า เพราะผลผลิตดีเช่นกัน เขาจึงต้องดั๊มพ์ราคาลงมาแข่งกับอินเดียด้วย จูงใจผู้ซื้อด้วย ยังมองไม่เห็นว่าข้าวขาวไทยจะขายที่ราคาตันละ 600 ดอลลาร์ได้อย่างไร มีผู้ซื้อประเทศไหนยอมซื้อแพงขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดราคาถูกและยังต่างกับคู่แข่งถึงเกือบๆ 200 ดอลลาร์ต่อตัน”  การที่นายโอฬาร ออกมาระบุไทยจะขายข้าว 8 ล้านตัน ราคาสูงนั้น เป็นการแถลงเพื่อยืนยันในนโยบายจำนำของรัฐบาลมากกว่าการให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ซึ่งในส่วนของภาคเอกชนในสถานการณ์ค้าข้าวที่แข่งขันราคารุนแรงขณะนี้ ไม่มั่นใจว่าสามารถส่งออกได้ถึง 6.5 ล้านตัน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่  05/03/2013
รัฐยึกยักไฟดับ
นายธนา  พุฒรังสี  รองผู้ว่าการ กฟผ.  กล่าวว่า การดับไฟในพื้นที่เป็นแผนที่เตรียมไว้เข้มข้นที่สุด โดยเฉพาะวันที่ 5 เม.ย. ที่สำรองไฟจะต่ำสุดและเกิดความเสี่ยงต่อไฟตกบางพื้นที่
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์  วันที่  05/03/2013
เบรกทางหลวงฟาดงบ “กยอ.”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)  ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูรเป็นประธาน เมื่อเร็วๆนี้ มีมติไม่เห็นชอบกับข้อเสนอของกรมทางหลวงที่เสนอของบจาก กยอ. จำนวน 4,900 ล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนโครงการพัฒนาทางหลวง 10 โครงการ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างอนาคตประเทศ
แหล่งข่าวจากที่ประชุม กยอ. กล่าวว่า  กรมทางหลวงได้เสนอขอแบ่งงบ 4,900 ล้านบาท ไปลงทุนเส้นทางถนนเชื่อมโยงภายในภูมิภาคของประเทศ และลงทุนโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อเชื่อมต่อบริเวณประตูการค้าตามแนวชายแดนที่มีศักยภาพ แต่กรรมการ กยอ.ส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบ และได้แนะนำให้กรมทางหลวงของบประมาณตามปกติ
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์  วันที่  05/03/2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น