วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

สรุปวิเคราะห์ข่าว บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ 4 - 13 มี.ค.56




บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ 4 มี.ค.56
จากวิกฤติไฟฟ้าที่ "เสี่ยเพ้ง" ชนะหลุดลุ่ยเพราะทำเอาคนไทยช็อกกับข่าว "ไฟฟ้าไม่พอใช้" ในเดือนเมษายน วินาทีนี้ถ้าทำโพลว่าประชาชนจะให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน นิวเคลียร์ หรือไม่ ผลน่าจะออกมา "ให้สร้าง" อย่างถล่มทลาย แต่พรรคเพื่อไทยก็มาประสบ "วิกฤติเสาไฟฟ้า"  "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" พ่ายศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไปอย่างน่าเจ็บใจ...๐
    หลากโพลหลายผลสำรวจ "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" นำโด่งทิ้ง "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" แต่พอลงสนามจริงกลับพ่ายแพ้ แถมยังเป็นการปราชัยที่เฉียดฉิว เพราะทั้งคู่ได้เกินล้านคะแนน ถือเป็นประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จึงเป็นความพ่ายแพ้ที่ยากจะยอมรับได้ แต่มิใช่ "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" เพราะเขาคนนี้จะกลับไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตำแหน่งที่จากมาเพื่อสมัครผู้ว่าฯกทม.แต่คนที่กระอักเลือดคือ"พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร"...๐
    การยึดสนามเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครไม่สำเร็จ จะส่งผลไปถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ในอนาคตด้วยอย่างแน่นอน เพราะนั่น ไม่สามารถการันตีได้ว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็มิใช่การชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียว อย่างที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตั้งเป้าหมายเอาไว้...๐
    สำรวจตรวจสอบ "วิกฤติเสาไฟฟ้า" เกิดจากหลายปัจจัย แต่โค้งสุดท้ายมีปัจจัยเดียวคือ กลัวแดงครองเมือง กระแสข่าว "จตุพร พรหมพันธุ์" หัวโจกแดงชั้นกะทิ จะมานั่งเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. ได้สร้างความหวั่นวิตกว่าคนกลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าสั่งเผากรุงจะมานั่งบริหารงานใน กทม. ปัจจัยนี้จะสร้างความกล้ำกลืนให้กับคนกรุงที่ได้รับความเสียหายจากการเมืองเผาถึงขั้น "รับไม่ได้" คะแนนที่เสียไปเพราะเหตุผลนี้อาจถึง 2 แสนคะแนนก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น"พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร"คงต้องช้ำหนักเข้าไปอีก...๐
    หลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้จะยังมีควันหลงในหลาย ประเด็นๆ แรก "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" จะกลับไปนั่งเก้าอี้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็จะมีคำถามตามมามากมาย เพราะครั้งหนึ่งเคยมีรัฐบาลที่ใช้การปราบปรามยาเสพติดเป็นเครื่องมือทางการเมือง เคยมีการทำสงครามยาเสพติดเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม อย่างเช่นคดี "ชิปปิ้งหมู" เมื่อเลขาธิการ ป.ป.ส. คือคนของพรรคการเมือง จะมีอะไรมารับประกันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาไม่เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคต้นสังกัด...๐
    ขณะที่ "จตุพร พรหมพันธุ์" จะมีอนาคตทางการเมืองที่ยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบัน เพราะตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ถือว่าศักดิ์ศรีด้อยกว่าเก้าอี้รัฐมนตรี เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของการไม่ยอมรับให้พรรคเพื่อไทยเข้าบริหาร กทม. ฉะนั้น การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป คงยากที่ "จตุพร พรหมพันธุ์" จะไปมีรายชื่อในคณะรัฐมนตรีของระบอบทักษิณ...๐  
    ส่วนสำนักโพลหลายสำนัก โดยเฉพาะสวนดุสิโพล และเอแบคโพล ที่เปิดผลสำรวจว่า "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ"  ชนะการเลือกตั้งในทุกโค้ง แต่เมื่อถึงเส้นชัยกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่สุ่มตัวอย่างทำวิจัยนั้น ผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิงการทบทวนบทบาทที่ผ่านมาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักโพลต้องพิจารณาดำเนินการด้วยการยุติบทบาทของตัวเองจนกว่าจะได้รับความยอมรับจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง...๐
    สุดท้ายผู้ชนะคือ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" จะต้องยอมรับความจริงที่ว่า 2 แสนคะแนนที่ชนะ "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" นั่นคือส่วนหนึ่งของผู้ที่จำใจต้องไปลงคะแนนเพราะกลัว ระบอบทักษิณจะยึดกรุงเทพฯ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ต้องใส่ใจกับคนกลุ่มนี้ และต้องเอาชนะด้วยการทำประโยชน์ให้กับคนกรุงเทพฯ ให้มากที่สุด เพราะความรู้สึกไม่ชอบ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" แต่ต้องเลือกเพราะกลัวระบอบทักษิณมากกว่านั้น เกิดจากการบริหาร กทม.ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ไม่เข้าตาคนกรุง หนำซ้ำไม่มีภาพผู้นำที่ติดดิน นี่คือสิ่งที่ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ต้องแก้ไขใน 4 ปีที่เหลือ แต่หากคิดว่าจะแก้ทำไม เพราะสมัยหน้าโบกมือลาแล้ว ผลที่ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" กระทำ ก็จะกระเทือนไปถึงคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะมาสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.คนต่อไปแน่นอน...๐
บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ 5 มี.ค.56
ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2556 มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ได้คะแนนเสียงทะลุล้านถึง 2 คน คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ 1,256,231 คะแนน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยได้ 1,077,899 คะแนน ทุบสถิติของ นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเคยได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯเมื่อปี 2543 ด้วยคะแนน 1,016,096 คะแนน ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ...๐  
พรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงอ้างถึงสาเหตุที่ พล.ต.อ.พงศพัศ แพ้เลือกตั้งเพราะประชาธิปัตย์หาเสียงไม่สร้างสรรค์ ด้วยการนำเอาเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองมาเป็นกลยุทธ์ลดคะแนนฝ่ายตรงข้าม คำถามคือ ไม่สร้างสรรค์อย่างไร? เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อปี 2553 และถ้าย้อนกลับไปในการเลือกตั้งใหญ่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อปี 2554 พรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงหาเสียงด้วยการปราศรัยกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งฆ่าประชาชนใช่เป็นการหาเสียงอย่างสร้างสรรค์ไม่ทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างนั้นหรือ?... 
ปัจจัยสำคัญที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ จากพรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งนั้น น่าจะมาจากกระแสข่าวที่ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง จะไปรับตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าฯกรุงเทพฯ ซึ่งเจ้าตัว พรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง อย่างนายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็วิเคราะห์ตรงกันว่า “พล.ต.อ.พงศพัศแพ้เพราะช่วงโค้งสุดท้ายมีชื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.จะเข้ามาเป็นทีมรองผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ”  เท่ากับยอมรับกลายๆ ว่า เหตุการณ์เผากรุงเทพฯ เมื่อปี 2553 เกี่ยวข้องกับใคร อย่างไรบ้าง ถึงได้ทำให้คนกรุงเทพฯ เกลียดนายจตุพรเข้าไส้ขนาดนี้...๐  
ต่อเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง มาดูสิว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง ที่ได้ดิบได้ดีเป็นถึง รมช.พาณิชย์ สาบทสาบานเอาไว้อย่างไรในเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี "หากผมและแกนนำเสื้อแดง รู้เห็น สั่งการ วางแผน เตรียมการ หรืออยู่เบื้องหลังการเผาบ้านเผาเมือง จงขอให้พวกผมพินาศล่มจมในวันนี้ พรุ่งนี้ แต่หากเรื่องการเผาบ้านเผาเมืองไม่เกี่ยวกับผม แต่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีของฝั่งตรงข้าม ก็ขอให้พวกนั้นล่มจมเช่นกัน ให้เห็นเริ่มเห็นผลตั้งแต่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ไปเลย" นั่นไง  เห็นผลทันตาเลย ต่อไปคงถึงคราวเผาเลยครับ ผมรับผิดชอบเอง แน่ๆ ...๐ 
    เจ้าสำนักโพลหน้าแหกชนิดที่หมอไม่สามารถจะรับเย็บได้ เมื่อทำการสำรวจคะแนนดิบหน้าคูหาเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ หรือเอ็กซิตโพลคลาดเคลื่อนและห่างไกลจากความเป็นจริง แต่ไม่วายที่จะโทษปี่โทษกลอง สารพัดจะหาเหตุผลกับความผิดพลาด ทั้งเป็นเพราะฝนตก ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย (เกี่ยวกันตรงไหน) ทั้งผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่พูดความจริง โดยที่ไม่ตั้งคำถามกับสำนักโพลของตัวเองนั้น มีคุณภาพ มีความเป็นวิชาการน่าเชื่อถือสักกี่มากน้อย สุขุม เฉลยทรัพย์เจ้าพ่อสวนดุสิตโพลยังมีหน้ามาบอกว่าเพิ่งผิดพลาดเป็นครั้งแรก? ...
    ทำไมผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่พูดความจริง จึงทำให้เอ็กซิตโพลคลาดเคลื่อนนั้นเพราะอะไร ใช่เพราะ ความไม่เชื่อถือในมาตรฐานทางวิชาการ และความเป็นกลาง ของสำนักโพลหรือเปล่า จากนี้ไปการบ้านของทุกสำนักโพล หากยังจะเดินหน้าทำโพลกันต่อ จะต้องสำรวจตัวเองก่อนเป็นอันแรก โดยเริ่มจากสำรวจความเห็นประชาชน ว่ายังอยากให้มีการทำโพลอีกต่อไปหรือไม่ และช่วยสำรวจด้วยว่าประชาชนเขาคิดเห็นอย่างไรกับบรรดาโพลหากินทางการเมือง!?...
    เสร็จศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ให้จับตาการเดินเกมผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ คนที่ 1 นัดหารือถึงหลักการและสาระของเนื้อหาของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมกับหลายฝ่าย ในวันที่ 11 มีนาคมนี้  เบื้องต้นว่าในส่วนของพรรคเพื่อไทย จะส่ง นายอุดมเดช รัตนเสถียร, นายสามารถ แก้วมีชัย  ส่วนกลุ่มเสื้อแดง นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. มาร่วมประชุมด้วย แต่แว่วว่าพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ ปฏิเสธเข้าร่วมเกมนี้ เพราะไม่อยากตกเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างความชอบธรรมแล้วล้างผิดให้คนโกงและเผาบ้านเผาเมือง...๐
บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ 6 มี.ค.56
ไทยโพสต์ "อิสรภาพแห่งความคิด" ควันหลงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลัง จูดี้-พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ แพ้การเลือกตั้ง และจะขอกลับเข้าราชการในตำแหน่งรอง ผบ.ตร.เหมือนเดิม แม้กฎหมายจะไม่ห้ามและเปิดช่องให้ทำได้ แต่ไม่มีความเหมาะสมทั้งด้านคุณธรรมและจริยธรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่ทำงานในสายบัญชาการ ให้คุณ-ให้โทษแก่ประชาชนจะต้องเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่การเมือง ขณะที่ พงศพัศ ประกาศตัวชัดสังกัดพรรคเพื่อไทย และท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง 2 ขั้ว จะพิทักษ์รักษาความยุติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อคุณคือ "ตำรวจมะเขือเทศ" ที่ประชาชนไม่ไว้วางใจ ตัวอย่าง ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่นอกจากประชาชนจะไม่น่าเชื่อถือในการทำงานแล้ว ยังทำให้องค์กรเสื่อมศรัทธาลงไปด้วย...0
    สำหรับผลการเลือกตั้งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครเบอร์ 16 จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 1,256,231 คะเเนน ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 1,077,899 คะเนน ห่างกัน 178,332 คะแนน หากเทียบการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งก่อน สุขุมพันธุ์ได้ 934,602 คะแนน ชนะ ยุรนันท์ ภมรมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ 611,669 คะแนน หรือสุขุมพันธุ์ชนะยุรนันท์ 322,933 คะแนน ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้ เพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มถึง 466,230 คะแนน ประชาธิปัตย์ได้เพิ่มเพียง 321,629 คะแนน เมื่อประกอบกับเหตุผลของประชาชนที่ในการตัดสินใจเลือกเบอร์ 16 เพราะกลัว พงศพัศ ที่มีเงาของ ทักษิณ ชินวัตร และ กลุ่มเสื้อแดง คอยบงการ จึงลงคะแนนเชิงยุทธศาสตร์ต้านการยึดเมืองหลวง หากไม่มีปัจจัยดังกล่าวเพื่อไทยอาจชนะ ดังนั้นที่ประชาธิปัตย์ชนะจึงเหมือนแพ้ จึงเกิดกระแสว่า ประชาธิปัตย์ต้องปรับปรุงการทำงาน จะคอยฉวยโอกาสบ่อยๆ คงไม่ได้แล้ว...0
    ผลการเลือกตั้งครั้งนี้คงส่งผลต่อการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมไม่น้อย พรรคเพื่อไทยภายใต้การบงการของน.ช.ทักษิณ ชินวัตร คงระมัดระวังในการผลักดันเรื่องร้อนๆ แบบนี้ แม้ เจริญ จรรย์โกมล  รองประธานสภาฯ เทียบเชิญประชาธิปัตย์ เพื่อไทย กลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง มาหารือกันในวันที่ 11 มี.ค.นี้ ก็ไม่น่าว่าจะคุยกันรู้เรื่อง โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ที่รู้ดีว่าชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้ เพราะคนกรุงกลัวพวกเผาบ้าน-เผาเมือง ยิ่งทำให้ ปชป.ต้องตั้งเงื่อนไขสูงขึ้น นายณัฐฏ์ บรรทัดฐาน รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ที่ประชุม ส.ส.พรรค สรุปว่าจะไม่เข้าร่วมการหารือครั้งนี้ หาก นายเจริญ จริงใจต่อการพูดคุยในครั้งนี้ควรไปเจรจาให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ.ล้างผิดทั้ง 4 ฉบับนี้ออกจากสภาฯ ก่อน และยังกังขาว่า เจริญ รับงาน ทักษิณ มา เป็นอันว่า เจริญ ต้องไปทำการปรองดองกับ4กลุ่มนี้ให้ได้ก่อนทำเรื่องปรองดองระดับชาติ...0
    ความคืบหน้าคดีเผาบ้าน-เผาเมือง หลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำเลย ชดใช้สินไหมทดแทนแก่ เซ็นทรัลเวิลด์  3.7 พันล้านบาท ล่าสุด ศาลแพ่งมีคำพิพากษาสั่งให้เทเวศประกันภัยชดใช้สินไหมทดแทนแก่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด (มหาชน) กรณีเกิดเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าเซน ย่านแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 จำนวน 1.78 พันล้านบาท โดยชี้ว่าเพลิงไหม้เป็นแค่จลาจล ไม่ใช่ก่อการร้าย ไม่มีความรุนแรงกระทบเศรษฐกิจชาติ ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องพูดว่าเคารพดุลยพินิจของศาล แต่มีข้อสังเกตว่าคดีนี้ ทั้งโจทก์และกลุ่มเสื้อแดงย่อมได้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะคนที่พูดว่า "เผาเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง" ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร คำให้การต่อศาลย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหากผลออกมาเป็น "ก่อการร้าย" โจทก์ก็ไม่ได้สักบาท แต่เทเวศประกันภัยก็คงไม่เดือดร้อน เพราะทำประกันกับต่างประเทศอีกต่อแต่ข้อเท็จจริงเหตุการณ์เผาบ้าน-เผาเมืองคงไปว่าในคดีก่อการร้ายอีกหลายยก...0
    ภายหลังเจรจาสันติภาพกำมะลอ ระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา  เป็นไปตามคาด กลุ่มก่อความไม่สงบปฏิบัติการสร้างความรุนแรงตอบโต้อย่างต่อเนื่อง ค่ำวันจันทร์ก่อเหตุเผายางรถยนต์ ชุมสายโทรศัพท์ หม้อแปลงไฟฟ้า จ.ยะลา 64 จุด ใน 7 อำเภอ เผาบ้านไทยพุทธที่นราธิวาสอีก 2 หลัง ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ในฐานะ ศปก.กปต. ฟันธงง่ายๆ ว่า   "เป็นวัยรุ่น ทำเพื่อความสะใจ อาจจะได้รับการยุยงให้สร้างความปั่นปวน หากผมไปแล้วกลับจะมีเป็นร้อย" โธ่! ทั่นสารวัตร รู้บ้างไหมว่าวัยรุ่นนั่นแหละน่ากลัวกว่าคนแก่ แสดงว่าแนวคิดการแบ่งแยกดินแดนฝังลึกลงถึงเยาวชนจำนวนมากแล้ว หากคนแก่ที่รัฐบาลไปเจรจาด้วยมีอำนาจสั่งการได้จริง ลองบอกให้สั่งกลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้หยุดปฏิบัติการให้ได้ ถึงจะเรียกว่ามาถูกทาง มิเช่นนั้นก็หลงทางไปเรื่อย...0
บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ 7  มี.ค.56
แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตรว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ยังฝันค้างเติ่ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังยืดเวลาการรับรองผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ออกไปอีก 30 วัน เนื่องจากต้องรอผลการสืบสวนเรื่องร้องเรียนทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งของ กกต.กทม.เสียก่อน ซึ่งประเด็นหนึ่งคือ การโพสต์ข้อความโจมตีผู้สมัครรายอื่นว่าเผาบ้านเผาเมือง แหม! ถ้าจะยืดเวลาพิจารณาทั้งที ก็ควรจะคิดไปถึงประเด็นอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ กลุ่มกรีนโดย สุริยะใส กตะศิลาไปร้องไว้กรณีไร้ร้อยต่อ ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ลงไปหาเสียงให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญผู้สมัครหมายเลข 9 ด้วยก็จะดี จะปล่อยเรื่องเงียบแล้วมุ่งไปเป้าที่ ชายหมูอย่างเดียว ต่อไปมันก็จะ สร้างเป็นบรรทัดฐานเหมือนกรณีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรผู้ต้องโทษจำคุก 2 ปีที่หนีคำพิพากษาอยู่มีสิทธิ์เลือกตั้งหรอก...๐ เอ่ยถึงเรื่องเผาบ้านเผาเมือง เผา ศาลากลางไม่เอ่ยถึงเรื่องร้อนที่ วรชัย เหมะส.ส.สมุทรปราการ ที่จะขนชื่อ ส.ส.อีกกว่า 20 รายชื่อ เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม 7 มาตรา ในวันที่ 7 มี.ค.ไม่ได้ สงสัยงานนี้เรียกว่าเป็นเชื้อเพลิงกองใหม่ที่รอ นายกฯ ปูกลับมาราไฟหรือเติมเชื้อไฟกันแน่ คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ที่แน่นอน งานนี้เป็นการ วัดกำลัง "แดงในพรรคเพื่อไทย ว่ายังมีคุณสมบัติที่จะต่อรองกับ นายใหญ่หรือไม่...๐ ก็จะไม่ลองกำลังได้อย่างไร เพราะคุณพี่ จตุพร พรหมพันธุ์ยังไม่ได้เก้าอี้เสนาบดีตอบแทนเลย ลำพังเพียงท่อน้ำเลี้ยงรายเดือนอย่างเดียวไม่สามารถอุด ตัณหาความมีหน้ามีตาได้เพียงพอหรอก ยิ่ง มีเพื่อนเต้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่มาเล่นการเมืองทีหลังแต่กลับก้าวขึ้นบัลลังก์คว้าโบนัสได้ก่อน ก็ยิ่งเจ็บกระดองใจจริงไหม...๐ ใครต่อใครก็ต่างรู้ว่าผลการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ เจ้ามูลเมืองเสียรังวัดไปเยอะ แต่หากมองให้ลึกตามสันดานของสัมภเวสีแล้ว จะรู้ว่าไม่ใช่แต่ประการใดเลย งานนี้คนที่สมประโยชน์คือ นายเหนือแบบปฏิเสธไม่พ้น เพราะ คนหน้าเหลี่ยมนั้นไม่เคยมองอะไรใกล้ๆ หรอก เวลายิงกระสุนก็คิดอะไรที่ยาวไกล ไม่อย่างนั้นคนที่เร่ขายหนัง วิ่งแลกเช็คกันหัวปักหัวปำทำไมถึงได้มีทรัพย์สินจนถูกยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินถึง 4.6 หมื่นล้านบาทได้เล่า...๐ งานนี้ของคนหน้าเหลี่ยมนั้นมีแต่ได้กับได้กับการพ่ายแพ้ หนึ่งนั้น ได้ทำตามสัญญากับตุ๊ดตู่ในการให้ตำแหน่ง รองผู้ว่าฯ กทม.แล้ว แต่เผอิญผลไม่เป็นใจ สอง จะทำให้ตำรวจอยู่ในกำมือไปอีกยาวไกล สมความปรารถนากับการผุด รัฐตำรวจแบบไม่มีใครกล้าหือ สาม เป็นการกัดเซาะฐานใน กทม.อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เชื่อ จับตาดูการเลือกตั้ง ส.ก.และส.ข.ในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ได้ นี่ยังไม่รวมถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่ กทม.ซึ่ง ปชป.เคยได้เสียงแบบถล่มทลายก็อาจเปลี่ยนพลิกสำคัญ เพราะผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นได้...๐ ดู ธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ช่างขมีขมันในในเรื่อง ทุจริตโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 369 แห่งเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะการตามล้างตามเช็ด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกฯ และ สุเทพ เทือกสุบรรณอดีตรองนายกฯ แต่กลับเงียบกริบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแวดวงสีกากี หรือเพราะโดน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้วผบ.ตร.ว้ากหน่อยนิดเดียว ถึงกับกลายเป็นเต่าหัวหดเลยหรือ...๐ ถึงเวลาเสียทีสำหรับการโยกย้ายนายทหารกลางปี เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาผบ.ทบ. บอกว่า ได้ส่งรายชื่อให้กับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัตรมว.กลาโหมแล้ว งานนี้คงไม่มีการหักกลางอากาศเหมือนเมื่อคราว พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์อดีตปลัด กห. นั่งเก้าอี้อยู่ ที่สำคัญตอนนี้ บิ๊กตู่ก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยโรงเรียนปูไปแล้ว การแต่งตั้งครั้งนี้จึงอาจจะเรียกว่าราบเรียบยิ่งกว่าผ้าไหมเสียอีก...๐ มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนเพื่อนที่ กองกำลังบูรพาแล้วก็ได้แต่อนาถใจกับเส้นทางหลวงหมายเลข 304 และ 314 ซึ่งพาดผ่านจังหวัดฉะเชิงเทราและสระแก้ว โดยคนทั่วบ้านทั่วเมืองต่างก็รู้ว่าเป็นถิ่นของคนตระกูล ฉายแสงและ เทียนทองแต่ถนนหนทางนั้นเรียกได้ว่ายิ่งกว่าหลุมพระจันทร์ซะอีก โดยเฉพาะเส้นทาง 304 โดยตอนนี้เพิ่งมาปิดป้ายประกาศว่าจะมีการปรับปรุงเส้นทางเป็น 6 ช่องและ 8 ช่องการจราจร พิโธ่! หาเสียงกับคนแปดริ้วตั้งแต่รุ่นพ่อมาถึงรุ่นลูก ถนนหนทางยังห่วยบรมได้ขนาดนี้ เห็นทีต้องไปดูตัวอย่างที่จังหวัด บรรหารบุรีเสียละมั้ง...๐ ส่วนเส้นทางในสระแก้วก็ใช่ย่อย ไฟข้างทางมืดมิดสนิทนานกว่า 50-60 กิโลเมตร ทั้งที่ติดชายแดนกัมพูชา ไหน รัฐบาลท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเรื่อง เออีซีหนักหนา แต่ถนนที่ติดชายแดนกับมี 2 เลน และมีไฟเฉพาะแยก อย่างนี้ยังมีหน้าท่องอาขยานเออีซีกันอีกเหรอ...
บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ  8  มี.ค.56
ไทยโพสต์ "อิสรภาพแห่งความคิด" www.thaipost.net ไม่ได้มีแค่ "ชายหมู" ที่กระวนกระจายรอ กกต.รับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ยังต้องยืดเยื้อออกไป เพราะติด 3 เรื่องร้องเรียนที่ กกต.ต้องขอเวลาสอบสวนก่อน ดีไม่ดีอาจยาวไปถึง 30 วันด้วยซ้ำ ฝั่ง "จูดี้" ก็ร้อนรนไม่ต่างกัน ถึงแม้ยังมีลุ้นหากอีกฝ่ายไม่ผ่านการรับรองผลก็ตาม แต่ดูอาการแล้วอยากกลับไปนั่งเก้าอี้บิ๊กกากีใจจะขาด พอ "นารีปู" ลงเครื่องปั๊บ "จูดี้" ปรี่ไปรับที่สนามบินสุวรรณภูมิทันที แล้วนารีปูก็กรรเชียงตามสไตล์ถนัดว่าต้องรอการประกาศผลและรับรองอย่างเป็นทางการจาก กกต.ก่อนค่อยว่ากัน สรุปเร่งอย่างไรก็ต้องรอไปพร้อมกับ "ชายหมู" ช่วงนี้ก็ต้องตกงานไปพลางๆก่อน"จูดี้อีเวนต์"ต้องพักชั่วคราว 
    ๐ ไอเดียแหวกแนวอย่างนี้ใครก็คิดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ทั่น "อำมาตย์เต้น" ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ สั่งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดแคมเปญเปลี่ยนชื่อร้านค้า "โชห่วย" ให้เป็น "โชสวย" โดยให้เหตุผลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นสิริมงคล ได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง! อดนึกไม่ได้ว่านี่เป็นความคิดของ เต้น-สภาโจ๊ก หรือเปล่า ที่คิดลึกไปได้ว่าคนรุ่นใหม่จะไม่เข้าใจ แล้วจะพาลแปลไปเองโชว์ของห่วย ก็เลยเปลี่ยนให้โชว์ของสวยซะเลย ทั้งที่คนไทยทั้งประเทศเขารู้กันอยู่ว่าโชห่วยไม่ใช่ภาษาไทยแท้ๆ แต่เป็นคำที่เรียกเพี้ยนมาจากชาวจีนที่มาค้าขายในประเทศไทยยุคแรกๆ ถ้าทั่นเต้นลืมไปขอยกความหมายจากวิกิพีเดียมาให้อ่านกันชัดๆ "โชห่วย ใช้เรียกร้านขายของชำ สะดวกซื้อ สารพัดสิ่ง ที่มักมีลักษณะอยู่ในตึกแถวหนึ่งห้อง โดยมากเป็นกิจการเล็กๆ กิจการในครัวเรือน สร้างรายรับเล็กๆ น้อยๆ ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเป็นคำที่มาจากสำเนียงจีนฮกเกี้ยน สันนิษฐานว่าถ้าออกเสียงภาษาจีนกลางน่าจะมาจากคำว่า "ชู" หมายถึง ใหญ่ๆ และ "ฮั่ว" หมายถึงสินค้า แปลรวมๆ หมายความว่ามีของขายเยอะแยะมากมาย" 
    ๐ ช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โวยวายให้จับ "ผี" กันโครมๆ ที่ไหนได้หนีมาอยู่ในสภาฯ นี่เอง พฤติกรรมสันหลังยาวหนีประชุมสภาฯ ก็ฉาวพออยู่แล้ว ยังกล้าเสียบบัตรแทนกันประจานทั่นผู้ทรงเกียรติซ้ำอีก เจอเจ้าประจำอย่าง "เจ๊โอ๋" รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงเสียงเหน่อๆ ให้ประธานในที่ประชุม "เจริญ จรรย์โกมล" รองประธานสภาฯ นับคะแนน ส.ส.ที่อยู่ในห้องประชุมใหม่ หลังเช็กด้วยสายตาแล้วมันขัดกับความจริง จำนวน ส.ส.ที่แสดงตนมีถึง 265 คน แต่นั่งกันโหรงเหรง นับไปนับมาอยู่จริงแค่ 121 คน ไม่รู้ผีโผล่มาจากไหนตั้ง 144 คน สภาฯ ก็เลยต้องล่มไปตามระเบียบ ก็ให้บังเอิญว่ามาล่มในช่วงจะลงมติร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ.... ที่โดนฝ่ายค้านถล่มซะเละ โดยเฉพาะโพลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กลายเป็นผลงานชิ้นโบดำตำใจ"สุขุมเฉลยทรัพย์"
    ๐ ผ่านไป 1 สัปดาห์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การลงนามสันติภาพที่ถ่อไปเซ็นถึงมาเลเซียแค่ปาหี่ โจรใต้ยังเหิมจุดไฟใต้อย่างต่อเนื่อง แต่พอฟัง "สารวัตรเหลิม" ผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่อง ชี้แจงกระทู้สดของฝ่ายค้านในสภาแทนนายกฯ ถึงได้บางอ้อ ทั่นรองนายกฯ เหลิ ตอบชัดถ้อยชัดคำ "หลังจากเซ็นสัญญาแล้วถามว่าได้อะไรไหม ก็ดีกว่าไม่ทำ ดีกว่าอยู่เฉยๆ" ส่วนหัวหน้าเจรจาฝ่ายไทย "พล.ท.ภราดร พัฒนบุตร" บอกว่าแค่เปิดหน้าเท่านั้น โบ้ยให้นับหนึ่งวันที่ 28 มี.ค.ที่จะเริ่มเจรจากันครั้งแรก ยิ่งราย "นารีปู" ที่พูดเหมือนหนังคนละม้วน สัปดาห์ก่อนยกยอพี่แม้วคนสำคัญช่วยดับไฟใต้ แต่ความเป็นจริงพื้นที่ชายแดนใต้ยังยิงยังเผารายวัน เลยออกแนวอ้อมแอ้มหยุดปัญหาความรุนแรงต้องใช้เวลา อ้างประเทศอื่นที่มีปัญหาความไม่สงบยังต้องใช้เวลาถึง 6-7 ปี ไม่รู้ "บิ๊กโอ๋" จะว่ายังไง เพราะเคยลั่นวาจาไว้ว่าปีนี้สถานการณ์จะดีขึ้น.
บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ  11  มี.ค.56
กฎหมายนิรโทษกรรมจ่อคิวพิจารณาในสภาฯ และเสร็จสิ้นภายในปีนี้แน่นอน เว้นเสียว่ามีเสียงต่อต้าน จนสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเละตุ้มเปะอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะนี้ให้จับตาดูการแข่งกันยื่นร่างกฎหมายที่มีทั้งพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด มิใช่ความแตกแยกในมวลหมู่คนเสื้อ แต่เป็นการล้อมหน้าล้อมหลัง เพื่อส่งให้ร่างกฎหมายไปถึงฝั่งฝันให้ได้...๐
    สำรวจสถานการณ์ร่างกฎหมายของก๊วนเผาเมืองที่อยากนิรโทษกรรมตัวเอง ร่างพระราชบัญญัติของ 42 ส.ส.เพื่อไทย  อยู่ในมือประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และพร้อมบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ ก่อนลัดคิวพิจารณาได้ทุกเวลา ส่วนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เสนอโดยแกนนำเสื้อแดง ผ่านมือ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ไปหยุดอยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา รอเวลาเข้าสภาฯ ในเร็วๆ นี้ เช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่มี "อุกฤษ มงคลนาวิน" เป็นหัวเรือใหญ่ อยู่ที่กฤษฎีกาเช่นกัน..๐
    ดังนั้น กระบวนการออกกฎหมายนิรโทษกรรมถือว่าอยู่ในช่วงพร้อมดำเนินการทางรัฐสภาทุกเมื่อ หากรัฐบาลประเมินสถานการณ์แล้วคิดว่าฝ่ายตนเองได้เปรียบ ซึ่งน่าสนใจว่ารัฐบาลจะดำเนินการก่อนหรือหลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ที่ค่อนไปช่วงกลางถึงปลายปี หากเร่งรัดให้เร็ว กฎหมายนิรโทษกรรมสามารถประกาศใช้ได้ช่วงเดือนมิถุนายนแต่นั่นหมายถึงเสียงต้านไม่ระคายผิวรัฐบาล...๐
    ท่าทีประชาธิปัตย์ชัดเจน คัดค้านทั้งในและนอกสภา และในสถานการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาหมาดๆ ย่อมทำให้พรรคเพื่อไทยคิดหนักพอควรว่าจะเร่งเดินหน้าหรือพักไว้ก่อนเพราะการดึงดันอาจได้ไม่คุ้มเสียเนื่องจากจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลโดยตรง..๐
    ขณะที่ "อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ" อ่านเกมว่า พรรคเพื่อไทยต้องการล้างความผิด แล้วนำคำว่า "ปรองดอง" มาสวมรอย เพื่อสร้างโอกาสรอดให้ "น.ช.ทักษิณ ชินวัตร" ทั้งจากดคีก่อการร้าย และคดีคอรัปชั่น นั่นเท่ากับทำลายระบบยุติธรรมของไทยให้ล้มครืนลงไปแค่ชั่วข้ามคืน แต่ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ผู้บัญชาการ เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง ซื่อตาใส จุดพลุปรองดอง พร้อมสวมรอยเอาว่าทุกฝ่ายเห็นด้วยหมดแล้ว แต่ทำไมถึงยังคัดค้าน มีเหตุผลอะไร? ทำไม? ถ้าให้ผ่าความจริง "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่ยังมีหน้าผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง กรณีนี้สมควรที่ประชาชนจะเป็นฝ่ายตั้งคำถามว่า มีเหตุผลอะไร? ทำไม? มากกว่า.
    ไทยแลนด์แดนศิวิไลซ์ อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น สภาทนายความงัดข้อศาลเยาวชนฯ ว่าด้วยเรื่องปัญหาอุปสรรคผลกระทบต่อวิชาชีพทนายความ จากกรณีที่ทนายความทั่วประเทศไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา 120 ถึง 123 ที่บัญญัติให้ศาลเยาวชนฯ ต้องจัดอบรม ที่ปรึกษากฎหมายเพื่อทำหน้าที่ทนายความในการดำเนินคดีเยาวชนและครอบครัว โดยหากทนายความคนใดไม่มีใบอนุญาตเป็นที่ปรึกษากฎหมายก็จะหมดสิทธิ์ว่าความ...๐
    ความขัดข้องใจ 4 ข้อ ของสภาทนายคือ 1.พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ และข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินคดีเยาวชนขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2.กรณีทนายความที่ไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการถือว่าไม่ส่งเสริมวิชาชีพทนายความ ไม่ส่งเสริมความสามัคคี ทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีวิชาชีพทนายความ และจะมีการประชุมวันที่ 13 มีนาคม เพื่อพิจารณาลงโทษทนายความที่ฝ่าฝืน 3.มีมติให้ทนายความที่เข้าอบรมแล้วไปถอนชื่อและเรียกหลักฐานและเงินคืนทั้งหมด ส่วนทนายความที่กำลังจะเข้าอบรมให้ถอนตัวและเรียกเงินคืน และให้รอฟังคำสั่งจากประธานสภาทนายความจังหวัด และ 4.ให้ประธานสภาทนายความจังหวัดทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนและทนายความทั่วประเทศให้เข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นในการคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ สรุปว่าวันนี้ไม่มีใครกลัวใคร ทางออกที่ดีคือ ตั้งโต๊ะหารือกัน หาไม่แล้วคนที่เดือดร้อนคือประชาชนตาดำๆ
บันทึกหน้า 4 จากไทยโฟสต์ เมื่อ  12  มี.ค.56
ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด การเดินสายหารือแนวทางการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อนำไปสู่การปรองดอง  ของ นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ และเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย เริ่มแรกดูจะไปได้สวย แต่อยู่ๆ 42 ส.ส.พรรคเพื่อไทย กลับชิงยื่นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสภาฯ จึงเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และมีคำถาม ใช่เกมแยกกันเดินร่วมกันตีเพื่อล้างความเป็นให้กับกลุ่มก๊วนและนายใหญ่หรือไม่อย่างไร เป็นเหตุให้ทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ และ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, องค์การพิทักษ์สยาม, กลุ่มเสื้อหลากสี และ นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ถอยออกมา เมินร่วมสังฆกรรมทันที ...๐ 
แต่กลุ่มที่เข้าหารือกับนายเจริญ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย พรรคมัชฌิมา นปช. และผู้ประกอบการธุรกิจย่านราชประสงค์ ได้ข้อสรุปร่วมกันเบื้องต้น โดยเสนอให้มีการปล่อยตัว “นักโทษทางการเมืองเพื่อให้มีอิสระและเสรีภาพในการต่อสู้คดี ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยหลักการดูสวยหรู แต่คำถามคือ จะแยกแยะได้อย่างไรว่าคดีใดคือคดีการเมือง เพราะผู้ที่ถูกจองจำอยู่เรือนจำเวลานี้ ต่างต้องโทษทางอาญาทั้งนั้น 
น่าแปลกใจ เหตุไฉนกลุ่มคนบางกลุ่มจึงมักอ้างว่าการเผาศาลากลางจังหวัด เผาสถานที่ราชการ ควรได้รับนิรโทษกรรมเพราะเหตุแห่งการเผามาจาก เหตุจูงใจทางการเมือง ลองเทียบกับคดีของคนเล็กคนน้อย ที่เก็บ “แผ่นซีดีจากกองขยะไปขายต่อ อันมี เหตุจูงใจต้องการหามีเงินมายาไส้ แต่ถูกสั่งจำคุกหลายปี แบบนี้ไม่ยักมีใครเสนอนิรโทษกรรม ทั้งที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเทียบไม่ได้เลยกับการเผาทำลายสถานที่ ทรัพย์สินทางราชการ ซึ่งล้วนมาจากเงินภาษีของประชาชน  
ส่วนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอสภาฯ โดย 42 ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้น ดูแนวโน้มแล้วไม่ง่าย เพราะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะโซนอีสาน ซึ่งอยู่คนละกลุ่มก๊วนกับ ส.ส.เสื้อแดง  อย่าง นายพีรพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ให้มุมมองไว้น่าสนใจว่า เสียงข้างมากในพรรคเพื่อไทย คงไม่เอาด้วย เพราะแม้จะเห็นด้วยในหลักการ แต่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ ให้ทุกอย่างลงตัวกว่านี้ หากยังดึงดันเสนอเข้าไปตอนนี้ คงยากที่จะประสบความสำเร็จ และจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกรอบได้ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับนายวรชัยในเรื่องนี้อีกครั้ง”  ถือว่าเป็นนกรู้ เพราะฝืนกระแสเมื่อไหร่ จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแน่นอน  
กระแสไม่เอานิรโทรกรรมไม่ต้องดูที่ไหนอื่น ให้ดูเฟซบุ๊ก “รัฐสภาไทยทีมงานด้านการประชาสัมพันธ์ของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ตั้งขึ้นเพื่อถามความคิดเห็นต่อสาธารณชนในสังคมออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ท่านเห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ซึ่งผลปรากฏว่า ตั้งแต่วันแรกของการสำรวจ มีคนกระหน่ำกดไม่เห็นด้วยมากกว่าคนเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก  จนทำให้ ขุนค้อนต้องสั่งลบผลสำรวจดังกล่าวทันที
    ทีมกฎหมายเพื่อไทย และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา เป็นปี่เป็นขลุ่ย ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ (กกต.กทม.) ให้ตรวจสอบคำปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ เป็นการให้ร้าย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญและพรรคเพื่อไทย เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ โดยเฉพาะปราศรัยหาว่าเพื่อไทยเป็นพรรคเผาบ้านเผาเมือง ปลุกระดมให้ป่วนกรุงเทพฯ    ขอบอกว่าเรื่องนี้หากไปถึง 5 เสือ กกต.กลาง ก็น่าจะวินิจฉัยและหาข้อเท็จจริงได้ง่ายนิดเดียว เพราะเคยโดนมากับตัวเองเมื่อครั้งเสื้อแดงนำโดยคนของพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ บุกข่มขู่คุกคามถึงสำงานงาน กกต.มาแล้ว ...๐   
ปิดท้ายด้วย นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านระบายน้ำ ได้เดินทางมายื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยต่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในเนื้อหาของหนังสือลาออกระบุว่า “มีความประสงค์ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไปประกอบธุรกิจแต่ลึกๆ แล้วแว่วมาว่า เหตุที่นายอุเทนลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เพราะความอึดอัดวิพากษ์วิจารณ์และนำเสนออะไรต่อพรรคไม่ได้ เพราะแกนนำพรรครับฟังความเห็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น เจ้าตัวจึงขอออกมาอยู่ข้างนอกดีกว่า จะได้ด่าได้เต็มปาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น