ตร.ทหารยั้งมือแก้ปัญหา3จว.เกรงกระทบการเจรจารบ.
พ.ต.อ.พิทักษ์ เอียดแก้ว อดีตผกก.สันติบาล 5 ส.1 ดูแลพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เปิดเผย "ผู้สื่อข่าว" ถึงสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากมีการลงนามเจรจาระหว่างสมช.กับแกนนำบีอาร์เอ็น ว่า ตอนนี้ได้รับทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ทุกคนปฏิบัติตัวไม่ถูกในการทำงาน ว่าจะทำงานเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ หรือต้องลดความเข้มข้น เพื่อให้กระบวนการเข้าสู่การเจรจาที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้เดินหน้าต่อไป
"น้องๆเขารู้สึกอึดอัดมากตอนนี้ ทำตัวไม่ถูก จะรุกก็ไม่กล้า จะถอยก็ตาย เพราะหากรุกมาก เดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามก็จะออกมาบอกว่าเจ้าหน้าที่คือตัวอุปสรรคต่อการเจรจา จึงเป็นสถานที่ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามที่จะเปิดเกมรุก เนื่องจากกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีหลายกลุ่ม"
พ.ต.อ.พิทักษ์ กล่าวว่า การเจรจาอย่างนี้ หรือจะพูดว่าเป็นการเจรจาหรือข้อตกลงอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีการออกข่าวไปทั่วโลก มันจะเป็นรอยตะเข็บที่อันตราย เป็นช่องว่างที่อันตรายมาก เนื่องจากกลุ่มที่รัฐบาลกำลังเจรจาไม่ได้เด็ดขาดในการสั่งการที่จะให้ก่อการ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะมีการเจรจาเป็นกลุ่มคนรุ่นเก่า ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เขาไม่ยอม และไม่เอาด้วยกับแนวทางการเจรจา
"เขาทุ่มเทมากมาก เดินหน้ามาไกลมา ทำงานหนักมามาก และที่สำคัญเขาไม่ทำงานแค่อุดมการณ์เท่านั้น แต่เขาทำงานเหนืออุดมการณ์และการทำงานที่ผ่านมาของกลุ่มปฏิบัติการเขาไม่ได้เชื่อหรือฟังคำสั่งจากผู้น้ำที่เป็นบุคคล เป้าหมายของเขาชัดเจนและแน่วแน่ คือการแบ่งแยกดินแดนที่เขาต้องการ"
และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือหลังการลงนามการก่อเหตุก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง และคิดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการวางระเบิดคาร์บอมบ์ต่อเนื่อง ซึ่งถ้ากลุ่มขบวนการในพื้นที่เห็นด้วยกับแนวทางเจรจา เหตุการณ์ก็จะต้องไม่เกิดขึ้น ในขณะที่ตำรวจ ทหาร ที่ทำหน้าที่ในการปราบปรามต้องทำงานแบบยั้งมือ ไม่งั้นมีปัญหากับระดับนโยบาย
ฉะนั้นสถานการณ์ในช่วงนี้น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีการกำหนดกรอบกับแกนนำบีอาร์เอ็นที่กำลังจะเจรจา ว่าระหว่างที่เข้าสู่กระบวนการเจรจา คือให้แกนนำรับปากหรือทำให้เห็นว่าสถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นภายใน 1 เดือน เป็นต้น ถ้าทำได้จึงจะมองเห็นช่องทางการเจรจาว่ามันจะเป็นผลดีต่อพื้นที่อย่างไร
"น้องๆเขารู้สึกอึดอัดมากตอนนี้ ทำตัวไม่ถูก จะรุกก็ไม่กล้า จะถอยก็ตาย เพราะหากรุกมาก เดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามก็จะออกมาบอกว่าเจ้าหน้าที่คือตัวอุปสรรคต่อการเจรจา จึงเป็นสถานที่ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามที่จะเปิดเกมรุก เนื่องจากกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีหลายกลุ่ม"
พ.ต.อ.พิทักษ์ กล่าวว่า การเจรจาอย่างนี้ หรือจะพูดว่าเป็นการเจรจาหรือข้อตกลงอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีการออกข่าวไปทั่วโลก มันจะเป็นรอยตะเข็บที่อันตราย เป็นช่องว่างที่อันตรายมาก เนื่องจากกลุ่มที่รัฐบาลกำลังเจรจาไม่ได้เด็ดขาดในการสั่งการที่จะให้ก่อการ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะมีการเจรจาเป็นกลุ่มคนรุ่นเก่า ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เขาไม่ยอม และไม่เอาด้วยกับแนวทางการเจรจา
"เขาทุ่มเทมากมาก เดินหน้ามาไกลมา ทำงานหนักมามาก และที่สำคัญเขาไม่ทำงานแค่อุดมการณ์เท่านั้น แต่เขาทำงานเหนืออุดมการณ์และการทำงานที่ผ่านมาของกลุ่มปฏิบัติการเขาไม่ได้เชื่อหรือฟังคำสั่งจากผู้น้ำที่เป็นบุคคล เป้าหมายของเขาชัดเจนและแน่วแน่ คือการแบ่งแยกดินแดนที่เขาต้องการ"
และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือหลังการลงนามการก่อเหตุก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง และคิดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการวางระเบิดคาร์บอมบ์ต่อเนื่อง ซึ่งถ้ากลุ่มขบวนการในพื้นที่เห็นด้วยกับแนวทางเจรจา เหตุการณ์ก็จะต้องไม่เกิดขึ้น ในขณะที่ตำรวจ ทหาร ที่ทำหน้าที่ในการปราบปรามต้องทำงานแบบยั้งมือ ไม่งั้นมีปัญหากับระดับนโยบาย
ฉะนั้นสถานการณ์ในช่วงนี้น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีการกำหนดกรอบกับแกนนำบีอาร์เอ็นที่กำลังจะเจรจา ว่าระหว่างที่เข้าสู่กระบวนการเจรจา คือให้แกนนำรับปากหรือทำให้เห็นว่าสถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นภายใน 1 เดือน เป็นต้น ถ้าทำได้จึงจะมองเห็นช่องทางการเจรจาว่ามันจะเป็นผลดีต่อพื้นที่อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น