วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

‘ปู’ร่วมมือปาปัว หนุนลงทุน‘ก๊าซ’ แดงเชื่อปปช.ฟัน เมื่อ 26 มี.ค.56


‘ปู’ร่วมมือปาปัว หนุนลงทุน‘ก๊าซ’ แดงเชื่อปปช.ฟัน



 “ยิ่งลักษณ์” เผยร่วมมือรัฐบาลปาปัวนิวกินีลงทุนก๊าซธรรมชาติ ประชาธิปัตย์กังขาถามใครได้ประโยชน์ 3 หมื่นล้าน ด้านเพื่อไทยมั่นใจนายกฯ ปูแจง ป.ป.ช.ได้ แต่เสื้อแดงคาดโดนเชือดแน่ตามแผนบันได 4 ขั้น
    เมื่อวันที่ 25 มีนาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเยือนปาปัวนิวกินี ว่า เป็นการหารือกับนายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี โดยเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อให้มีช่องทางติดต่อประสานงานในการหารือและติดตามความร่วมมือต่างๆ อาทิ ความร่วมมือด้านก๊าซธรรมชาติ ที่ปาปัวนิวกินี สนับสนุนคนไทยให้เข้ามาลงทุน และจะใช้คณะทำงานดังกล่าวหารือในรายละเอียด 
สำหรับสินค้าเกษตร จะให้มีความร่วมมือด้านการผลิตสินค้าแปรรูป เนื่องจากปาปัวนิวกินีมีสิทธิพิเศษทางภาษีในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งจะเป็นช่องทางในการเพิ่มการส่งออกสินค้าของไทย ส่วนข้าว  ปาปัวนิวกินีนิยมบริโภคข้าวไทย โดยไทยและปาปัวนิวกินีจะส่งเสริมการนำเข้าข้าวไทย
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะขยายความร่วมมือด้านการประมง อุตสาหกรรมก่อสร้าง และความร่วมมือทางวิชาการ ที่ไทยให้ความช่วยเหลือในด้านที่มีความเชี่ยวชาญ และการพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นโอกาสให้คนไทยกับปาปัวนิวกินีไปมาหาสู่กัน รวมทั้งการผ่อนปรนเรื่องวีซ่าด้วย 
ทั้งนี้ ไทยกับปาปัวนิวกินีจะเร่งอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งหาแนวทางการแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ เช่น การยกเลิกภาษีซ้ำซ้อน ทั้งนี้ สำหรับมูลค่าการค้า ไทยและปาปัวนิวกินีจะรักษาให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 อย่างต่อเนื่อง
    นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการเยือนประเทศปาปัวนิวกินีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ตนขอตั้งขอสังเกตว่าการไปเยือนประเทศปาปัวนิวกินีของนายกฯ ในครั้งนี้ น่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธุรกิจด้านพลังงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศปาปัวนิวกินีหลายครั้ง และในการไปเยือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้ ก็มีการนัดเจรจาธุรกิจระหว่างบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กับบริษัทอินเตอร์ออยส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ไอโอซี) ของประเทศปาปัวนิวกินี โดยมีการลงทุนทั้งหมด 1 แสนล้านบาท 
“ซึ่งสิ่งที่น่าสงสัยคือรัฐบาลปาปัวนิวกินีชุดที่แล้วเคยยกเลิกสัมปทานของบริษัทไอโอซี เนื่องจากเห็นว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีความพร้อมด้านการลงทุน และไม่มีก๊าซธรรมชาติเหลวอยู่จริงตามที่ได้กล่าวอ้าง รวมทั้งมีข้อกล่าวหาว่าเป็นบริษัทที่ปั่นหุ้น แต่กลับไปได้สัมปทานจากรัฐบาลชุดปัจจุบันของปาปัวนิวกินี และเป็นตัวแทนรัฐบาลที่จะไปเจรจากับ ปตท.สผ. และเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ ปตท.สผ.นำมาชี้แจงกับคนไทยก็เป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทไอโอซีทั้งสิ้น”
นายชวนนท์กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลได้ทำการตรวจสอบการลงทุนระหว่าง ปตท.สผ.และบริษัทไอโอซี  ว่าบริษัทดังกล่าวมีศักยภาพด้านการลงทุนพลังงานจริง เป็นบริษัทจริงที่ทำธุรกิจพลังงาน ไม่ใช่แค่บริษัทนายหน้าที่เซ็นสัญญาสร้างราคาหุ้น และกินค่านายหน้าเท่านั้น จึงได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 2 ประเด็นในการเจรจาดังกล่าว 1.การลงทุนในครั้งแรกในการดำเนินงานสำรวจพลังงานของ ปตท.สผ. มีคนได้ค่านายหน้าจากการเจรจาดังกล่าว 3 หมื่นล้านบาท และ 2.หลังจากมีข่าวว่าบริษัทไอโอซีจะมีการลงทุนกับ ปตท.สผ.แล้ว ก็ได้มีผู้ลงทุนกลุ่มใหญ่เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทไอโอซีเพื่อรองรับการลงทุนในครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นถีบตัวขึ้นหลายเท่า ซึ่งถือเป็นการปั่นหุ้น ทั้งนี้ ประเทศปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณคุ้นเคยดี จึงไม่รู้ว่าการร่วมลงทุนดังกล่าวประเทศไทยหรือผู้ที่เดินทางไปเจรจาตามต่างประเทศจะได้ประโยชน์กันแน่
ทางด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต  โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่านายกรัฐมนตรีกำลังถูกบีบจนต้องให้ความร่วมมือกับคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มิฉะนั้นจะถูกปลดพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่าไม่มีมูลความจริง ถ้านายชวนนท์ว่างมาก ก็อย่าไปใช้จินตนาการเสี้ยมพรรคอื่น เรื่องในพรรคเพื่อไทยนายชวนนท์จะรู้ดีกว่าใครหมดได้ยังไง ทางที่ดีให้ไปช่วยผู้ใหญ่ในพรรคหาวิธีปรับโครงสร้างพรรคเพื่อหนีแพ้เลือกตั้งซ้ำซากจะดีกว่า หรือไม่ก็เตรียมเป็นรองผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ 
ส่วนเรื่อง ป.ป.ช.ที่จะมีการพิจารณาเรื่องการแจ้งบัญชีทรัพย์สินในส่วนของการปล่อยกู้ 30 ล้านบาทนั้น เชื่อว่านายกฯ สามารถชี้แจงได้ ไม่มีปัญหาอะไร  ทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน รวมถึงกรณีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะสมัคร ส.ส.เพื่อไปสู่การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ยิ่งไม่จริง เป็นเพียงต้องการทำหน้าที่ ส.ส.รับใช้ประชาชน ความจริงวันนี้คือ ไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยกดดันนายกฯ เลย ในทางกลับกัน ทุกคนให้กำลังใจและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกเรื่อง เป็นห่วงก็แต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่นับวันเริ่มจะหาเรื่องค้านได้น้อยลง เลยถึงขั้นต้องใส่สีตีไข่ เติมจินตนาการโดยไม่มีชุดความจริงพื้นฐานใดๆ รองรับ
 นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ โฆษกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะพิจารณาความผิดเกี่ยวกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีการปล่อยเงินกู้ 30 ล้านบาท ให้บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด ของนายอนุสรณ์ อมรฉัตร ผู้เป็นสามี ว่านายกฯ ไม่น่าจะรอด เพราะ ป.ป.ช.ชุดนี้มีความเป็น 2 มาตรฐาน ที่มาได้รับการแต่งตั้งจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คดีความต่างๆ ที่ตัดสินมาตั้งแต่พรรคพลังประชาชน จนมาพรรคเพื่อไทย ล้วนตัดสินให้ผิดตลอด และคดีความที่ตัดสินจะรวดเร็วกว่าคดีความอื่นๆ
นายธนาวุฒิกล่าวว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.เกี่ยวกับคดีนี้ ยังไม่มีการหารืออย่างเป็นทางการ แต่มีการพูดคุยกันในส่วนของแกนนำบางคน ว่าเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในแผนของบันได 4 ขั้น เพราะนายกฯ ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องพุ่งเป้าเล่นงานนายกฯ โดยตรง หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่านายกฯ มีความผิดในการปล่อยเงินกู้ 30 ล้านบาท และตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้งตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงรอยต่อก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่นี้อาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมากต่อประเทศอย่างแน่นอน เดือนเมษายนจะร้อนแค่ไหนก็มาจากการตัดสินคดีของ ป.ป.ช. ที่ยังไม่มีความเป็นกลางเท่าที่ควร และจะเป็นตัวการที่จุดชนวนความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
    “ในส่วนคดีความ ก็ต้องว่ากันตามข้อกฎหมาย แต่เท่าที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันคือ คดีนี้นายกฯ ไม่ผิด หากนายกฯ ถูกตัดสิทธิ์ ต้องมีมวลชนคนเสื้อแดงไม่ยอมอย่างแน่นอน ต้องออกมาประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายกฯ แต่ทางแกนนำ นปช.จะขอดูท่าทีก่อน เพราะอาจจะเป็นการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อคนเสื้อแดงออกมาชุมนุม ก็จะส่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือคนเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมด้วย เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย จนลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมือง บวกกับสถานภาพของรัฐบาลยังไม่มั่นคง จนทำให้ทหารออกมาควบคุมความวุ่นวายและทำการยึดอำนาจรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากประชาชนตามแผนบันได 4 ขั้นที่ฝ่ายตรงข้ามวางไว้ เพื่อให้ดึงอำนาจของประชาชนกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง และคราวนี้ประชาชนจะไม่ยอมให้ทหารทำตามใจอีกต่อไป จะต้องมีการลุกฮือขึ้นเพื่อทวงคืนประชาธิปไตยจนทำให้อาจเกิดการนองเลือดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น” นายธนาวุฒิกล่าว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น