วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คนหน้า5 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556




คนหน้า5 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 00:00 น.
หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556.......... เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจสำหรับ ผู้เคารพกฎหมาย เมื่อ 2 ขั้วอำนาจ เจรจาผลประโยชน์ลงตัว ก็บรรจงจูบปากและจูงมือ ชวนกันทำคลอด พ.ร.บ.นิรโทษกรรม.......... ถ้าพิจารณาในแง่ ความเป็นธรรม และ หลักนิติรัฐ ไม่ต่างจากการเขียนกฎหมายฉบับหนึ่งด้วย เท้า เพื่อให้มีผลไป ลบล้าง กฎหมายอีกฉบับที่เขียนขึ้นมาด้วย มือ.......... ก็ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินคนเหล่านี้พูดถึง ความสำนึกผิด และ ความรับผิดชอบ ต่อผู้สูญเสีย และ ห้างร้าน ซึ่งไม่ใช่คู่กรณี แต่กลายเป็น เหยื่อ ถูกเผาวอด.......... ประการต่อมา เป็นการหักหลัง ผู้เสียชีวิต ไม่เห็นหรือ..?? จนถึงวันนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ ถูก-ผิด ใครยิงใคร และใครหลอกคนไปตาย ให้กระจ่างชัดเสียก่อน.......... ลองดูสิ...!! ออกกฎหมาย ล้างโทษ เสร็จ ปัญหาของแต่ละคนได้รับการแก้ไข เพียงชั่วข้ามคืนจะไม่มีใครสนใจ ผู้เสียชีวิต และ ผู้เสียหาย ซึ่งถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง.......... รออีกนิดไม่ได้ หรือ..?? เห็นคุยนักคุย
หนา จะยอม สละชีวิต ต่อสู้เพื่อ อุดมการณ์ ในเมื่อไม่กลัว ความตาย แล้วจะไปกลัวอะไรกับ คุก.......... ถ้ายอมให้ ล้างผิด กันได้ง่าย ๆก่อกรรมแล้วไม่ต้อง ชดใช้ อีกหน่อยจะยิ่งได้ใจ เอะอะก็ จัดม็อบปิดสนามบิน ปิดถนน เผาโน่นเผานี่ หรือเหิมเกริมหนัก ถึงขั้นบุกไปถล่มบ้านตุลาการตามที่เคยขู่ไว้.......... เริ่มนับหนึ่ง โครงการแก้ปัญหา น้ำท่วม ทั้งระบบ ด้วยงบประมาณ 3.5 แสนล้าน หลังจาก ครม.คัดเลือก 6 บริษัท ให้มาแข่งขันเขียนแผน.......... แต่พอฟัง ปลอดประสพ สุรัสวดี แล้ว ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก บ้านเรือนราษฎร ตรงไหนบ้าง..?? จะถูกเวนคืน เพื่อใช้สร้าง เขื่อน 16 แห่ง และ เส้นทางระบายน้ำ.......... อันที่จริงโครงการนี้ กระทบ ประชาชนยิ่งกว่าแก้รัฐธรรมนูญ เพราะมีผู้เดือดร้อนและได้ประโยชน์เป็น วงกว้าง ฉะนั้นก่อนดำเนินการใด ๆ ควรทำ ประชามติ ชี้ขาด ไม่ใช่ปล่อยให้ นักการเมือง ตัดสินกันเองตามอำเภอใจ.......... ดู ๆ แล้ว ไม่แน่ใจคิดถึง ประชาชน สักแค่ไหน เพราะยังไม่ทันไร รัฐบาลก็เตรียมยกร่างกฎหมายตั้ง กระทรวงน้ำ เพื่อรวบงบ 3.5 แสนล้าน ไปใส่อุ้งมือของ รัฐมนตรี เพียงคนเดียว เวลาคิด เปอร์เซ็นต์ จะได้ไม่หกตกหล่น.......... เริ่มเปล่งประกายแสงแห่งความเป็นผู้นำ สี่ จิ้น ผิง ถือโอกาสช่วงตรุษจีนแสดงวิสัยทัศน์ชี้นำ ทิศทาง ของประเทศเป็นครั้งแรก ด้วยการเรียกร้องให้ประชาชนเฉลิมฉลองปีใหม่อย่าง พอเพียง และรู้จัก เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข.......... เริ่มจากวิงวอนให้ ลด การจุดดอกไม้ไฟ ประทัด พลุ รวมถึงขอให้ข้าราช การระดับสูง ยกเลิก งานเลี้ยง รื่นเริงตามโรงแรม 5 ดาว เพื่อความประหยัด.......... เท่านั้นไม่พอ ยังให้เปลี่ยน ค่านิยม กินทิ้งกินขว้างอวด ความร่ำรวย หันมากินอย่าง พอเพียง หากสั่งมาแล้วเหลือ ให้ห่อกลับเอาไปกินวันต่อไป.......... พร้อมกันนี้ ว่าที่ผู้นำจีน ได้สั่งยกเลิกเทศกาล ติ่มซำ มีจัดติดต่อมานาน 30 ปี เพื่อนำ แป้งสาลี ทั้งหมดไปแจกจ่าย คนยากไร้ ในพื้นที่ชนบทห่างไกล.......... คาดเดาว่า สี่ จิ้น ผิง คงต้องการ ปรับสมดุล ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยพยายามลดช่องว่างระหว่าง ยาจก กับ เศรษฐี อันเป็นผลพวงจากการพัฒนาชาติบ้านเมืองตามแนวทาง 1 ประเทศ 2 ระบบ..........หากปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเสรี กลายพันธุ์เป็น ทุนนิยมสามานย์ อาจทำให้ เงิน เข้าไปมี อิทธิพล และ ครอบงำ การเมือง จนระบอบ คอมมิวนิสต์ ต้านไม่อยู่.......... หรือ...?? บางครั้ง ว่าที่ผู้นำจีน อาจเกิดความวิตกต่อความวิบัติของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมใน อเมริกา และ ยุโรป ที่กระตุ้นกินกระตุ้นใช้ จึงไม่อยากให้ จีน เดินซ้ำรอยความล้มเหลว.......... ภาพขำ ๆ วันตรุษจีนเมื่อเห็นลูกหลานเผาอุปกรณ์ไอทียอดฮิต โทรมือถือกงเต๊ก ทั้ง ไอโฟน ไอแพด ไปให้บรรพบุรุษบนสวรรค์ แต่ไม่ได้เผา หนังสือคู่มือ บอกวิธีใช้ตามไปด้วย.......... เอาเถอะถึง อากง-อาม่า ไม่คุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์ไฮเทค แต่ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะพอจะไปถามไถ่กับ สตีฟ จ็อบส์ ได้บ้าง.......... แล้วนี่...!!ยังไขปริศนาไม่กระจ่าง อะไรเป็นเหตุดลใจให้ สตช. ต่อสัญญารับเหมาสร้างโรงพักอีก 180 วัน ทั้ง ๆ ที่เห็นคาตา ไม่มีปัญญาสร้างเสร็จทัน.......... หากจะอ้างเกิด มหาอุทกภัย ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ได้ท่วมพร้อมกันทั้งประเทศ ในปี 2554 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจาก น้ำท่วม มีเฉพาะใน ภาคกลาง เท่านั้นเอง.......... เปิดตัวแถลงข่าวช่วงเทศกาลมาฆบูชาไปแล้ว เจ๊หน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปล่อยขบวนรถแห่ทั่วกรุง เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมีโอกาส ทำบุญ แผ่นทอง และบูชาเหรียญ พระพุทธเจ้าน้อย.......... จากนั้นจะไปปักหลักอยู่ที่ ท้องสนามหลวง ช่วงโค้งสุดท้าย ตั้งแต่วันที่ 21-27 กุมภาพันธ์ เพื่อนำรายได้ไปบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของ พระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล.......... ปิดท้าย ด้วยข่าวที่เริ่มส่งกลิ่นตุ ๆ กรณี หน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง ตั้งบริษัทไปซื้อที่ดิน อินโดนีเซียเป็นล้านไร่ เพื่อปลูก ปาล์มน้ำมัน หมดเงินไปเป็นหมื่นล้าน..........แต่พอเวลาผ่านไม่กี่ปี ช้างตาย ที่ตั้งตัว ไม่สามารถเอาใบบัวมาปิดได้สำเร็จ ความจริง จึงปรากฏขึ้นมาว่า ที่ดินทั้งหมด โอนไม่ได้ จึงส่อเค้าจะ สูญเงิน ก้อนโตไปฟรี ๆ.......... ไม่รู้ใครต้มใคร แต่ที่แน่ ๆ หน่วยงานของรัฐเสียที โดนต้ม เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดอดใจรอการสอบสวนของ ป.ป.ช. อีกสักพัก เดี๋ยวคงรู้จะฟันหัวบั่นคอใครได้บ้าง..........

ดินสอโคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น