บึ้ม!เด็ด5ทหาร ปัตตานีกราดยิงบ้านไทยพุทธ/ปูจ่อเคอร์ฟิว
11 February 2556
ประเดิมคาร์บอมบ์ปีงูเล็ก ซุกระเบิด 50 กก.บึ้มทหารร้อย ร.15233 ระหว่างไปรับคนงานฟาร์มตัวอย่าง สุดเหี้ยม กลัวไม่ตายขนอาวุธสงครามจ่อยิงซ้ำ พร้อมยึดเอ็ม 16 หลบหนี ส่งผลทหารดับ 5 นาย บาดเจ็บ 1 ราย รวบวัยรุ่นต้องสงสัยได้ 1 คน “ปัตตานี” 2 คนร้ายยิงพนักงานขายแท็บเล็ต ช่วงเย็นยิงกราดหมู่บ้านไทยพุทธ “ยิ่งลักษณ์” ส่อแววประกาศเคอร์ฟิว ชี้ข้อเสนอ “กูรูเหลิม” มีเหตุผล
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อวันอาทิตย์ ได้เกิดเหตุในหลายพื้นที่ เริ่มตั้งแต่เวลา 07.05 น. เกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่ถนนสายบ้านซาเมาะ-บ้านท่าธง บริเวณ บ.กูแบตาละ หมู่ 1 ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้ทหารเสียชีวิตหลายนาย
หลังทราบเหตุ พ.ต.ต.ต่อพันธุ์ ปะสันเที๊ยะ สารวัตรใหญ่ สภ.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา พร้อมด้วย พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา (ผบก.ภ.จว.ยะลา), นายอวยชัย จุฬาศิริวงศ์ ปลัดอำเภอรามันฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ทหาร และชุดเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี) ได้เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ ซึ่งการเดินทางเข้าที่เกิดเหตุเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะคนร้ายโปรยตะปูเรือใบสกัดไว้เป็นระยะ
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณริมถนน เจ้าหน้าที่พบซากรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีเทา หมายเลขทะเบียน บจ 2182 ยะลา ของ น.ส.ตติยารัตน์ ช่วยแก้ว อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบาโง หมู่ 1 ต.ปานัน อ.มายอ จ.ยะลา ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตคาโรงอาหารของโรงเรียนเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. และถูกคนร้ายชิงรถไป โดยซากรถพบติดป้ายทะเบียนปลอม หมายเลข บฉ 6896 ปัตตานี ตกอยู่ในร่องน้ำริมถนน สภาพเพลิงกำลังลุกไหม้ และมีเศษเหล็กเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ห่างไปประมาณ 10 เมตรก็พบรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว ใช้ในราชการทหารพลิกคว่ำอยู่
โดยใกล้รถพบทหารนอนเสียชีวิต 4 นาย และห่างกันไม่ถึง 5 เมตรก็พบศพนายทหารอีก 1 นาย รวมทั้งสิ้น 5 นายประกอบด้วย 1.ส.อ.ธีรยุทธ บุญเตโช 2.พลทหารอิสฮะห์ บาโงย 3.พลทหารรุสดี ลีเส็น 4.พลทหารพงษ์เทพ หักหมัด และ 5.พลทหารทรงชัย สุวรรณมณี นอกจากนั้นยังพบทหารได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย คือ จ.ส.ต.ชาตรี อุทาหรณ์ เจ้าหน้าที่จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลาและลำเลียงศพออกจากจุดเกิดเหตุ
และจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบสะเก็ดระเบิดเป็นเหล็กเส้นตัดขนาด 1 เซนติเมตรกระจายทั่ว เศษวงจรอิเล็กทรอนิกส์ สายไฟ และเศษถังแก๊ส เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยเชื่อว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 50 กก.ที่คนร้ายซุกอยู่ในกระบะ จุดชนวนด้วยรีโมตคอนโทรล
จากการสอบสวนทราบว่า เจ้าหน้าที่ทหารกองร้อยทหารราบที่ 15233 (ร้อย ร.15233) หน่วยเฉพาะกิจยะลา 12 รับผิดชอบพื้นที่ อ.รามัน และประจำอยู่ที่ฐานปฏิบัติการฟาร์มตัวอย่างวังพญา-ท่าธง ต.วังพญา ได้เดินทางไปรับคนงานเพื่อไปทำงานในฟาร์มตัวอย่างเป็นปกติทุกวัน เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ คนร้ายได้ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนัก 50 กิโลกรัมที่ติดตั้งไว้ในรถกระบะของ น.ส.ตติยารัตน์ ที่จอดอยู่ริมถนนจุดชนวนระเบิดทันที แรงระเบิดทำให้รถพังยับ และแรงอัดของระเบิดยังทำให้รถบรรทุกของทหารกระเด็นเสียหลักพลิกคว่ำ
จ่อยิงพร้อมปล้นปืน
จากนั้นคนร้ายอีกชุดหนึ่งจำนวน 5-6 คน ซึ่งใช้รถกระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดรากอนอาย สีเขียว เป็นพาหนะ แต่งกายเลียนแบบทหารพราน ได้บุกเข้าไปใช้อาวุธสงครามเอ็ม 16 อาก้า และปืนพกสั้นจ่อยิงซ้ำจนทหารเสียชีวิต 5 นาย และได้ชิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายของทหารจำนวน 5 กระบอกหลบหนีไป โดยขับรถไปทางบ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ระหว่างทางมีแนวร่วมโปรยตะปูเรือใบและตัดต้นไม้ขวางถนนหลายจุดเพื่อสกัดการไล่ล่าติดตามของเจ้าหน้าที่
สำหรับสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ กลุ่มนายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ หรือเปเล่ดำ กับนายอับดุลเราะแม เจ๊ะเต๊ะ สองแกนนำที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ต.วังพญา ต.อาซ่อง และ ต.กอตอตือระ อ.รามัน โดยรวมตัวกับแกนนำที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เพื่อตอบโต้กรณีเจ้าหน้าที่จับกุมนายกามัน ไชยชนะ แกนนำระดับสั่งการในท้องที่ อ.รามัน เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2555 ซึ่งคาร์บอมบ์ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของปี 2556 ด้วย
โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจยะลา ได้ส่งชุดสายฟ้าของทหารพรานสนธิกำลังกระบะทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 12 อ.รามัน ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยใน ต.อาซ่อง และ ต.กอตอตือระ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกัน เพื่อไล่ล่าหาตัว นายอับดุลรอฮิง นอกจากนี้ หน่วยเฉพาะกิจยะลายังประสานหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีให้สกัดรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้ออีซูซุ ดรากอนอาย สีเขียว ที่กลุ่มคนร้ายใช้เป็นพาหนะในการปฏิบัติการยิงถล่มซ้ำเจ้าหน้าที่ ก่อนหลบหนีเข้าพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานีด้วย ซึ่งล่าสุดทหารพรานกรมทหารที่ 41 ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมก่อเหตุ ซึ่งเป็นเยาวชนชายวัย 18 ปี นักศึกษาปอเนาะแห่งหนึ่งในพื้นที่บ้านปากู ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ไปสอบสวน หลังเจ้าหน้าที่พบกระเป๋าเงินตกในที่เกิดเหตุ
ส่วนทหาร 5 นายที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นชาวไทยพุทธ 3 นาย ประกอบด้วย ส.อ.ธีรยุทธ, พลทหารพงษ์เทพ และพลทหารทรงชัย ได้มีพิธีรดน้ำศพที่ฌาปนสถานเทศบาลนครยะลา เมื่อเวลา 14.00 น. โดยมี พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 เป็นประธานพิธีรดน้ำศพและวางพวงหรีดหน้าศพ และมีนายปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการ ศอ.บต., นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา, พล.ต.ต.พีระ, ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมรดน้ำศพและไว้อาลัย ที่ศาลาบำเพ็ญกุศล ฌาปนสถานเทศบาลนครยะลาเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้เคลื่อนย้ายศพทหารไทยพุทธทั้ง 3 นาย กลับไปประกอบพิธีทางศาสนาในภูมิลำเนา ส่วนทหารที่นับถือศาสนาอิสลามอีก 2 นาย คือ พลทหารอิสฮะห์ และพลทหารรุสดี ญาติได้นำศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามในภูมิลำเนาที่ จ.สงขลาและสตูล ตามลำดับ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 ได้มอบเงินช่วยเหลือจากกองทัพ และเหรียญบางระจันแก่ตัวแทนทหารที่เสียชีวิต ขณะรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาก็มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาของศูนย์ปฏิบัติการเยียวยาจังหวัดยะลาอีกรายละ 500,000 บาท
ที่ จ.ปัตตานี ในเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พร้อมกำลังตำรวจ-ทหารประมาณ 50 นาย ได้กระจายกำลังปิดล้อมตรวจค้น หลังสืบทราบว่ามีคนร้ายได้เคลื่อนไหวในพื้นที่ ม.3 ต.ปางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี โดยหลังตรวจค้นแต่ละบ้านจนถึงบ้านไม่มีเลขที่ พบผู้ต้องสงสัยแอบหลบซ่อนภายในบ้าน จึงได้ควบคุมตัว และพบว่าชื่อนายมูหามะ วะวา อายุ 33 ปี อยู่ในบัญชีรายชื่อของคดีความมั่นคง มีหมายจับคดี ป.วิอาญา คดีความั่นคงหลายคดี ทั้งคดีวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารและยิงเจ้าหน้าที่ เป็นระดับผู้ปฏิบัติการ จึงได้ควบคุมตัวดำเนินการต่อไป
ยิงคนขายแท็บเล็ต
และเมื่อเวลา 13.00 น. ร.ต.ท.ธรรมศักดิ์ ฐาภิมุก พนักงานสืบสวนเวร สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี รับแจ้งเหตุคนร้ายยิงชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย บนถนนสาย 42 หมู่ 1 บ้านเจาะกือแย ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋ง ทะเบียน กฮ 4349 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ข้างทาง สภาพได้รับความเสียหายและถูกยิงบริเวณด้านคนขับจนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ตรวจสอบภายในรถพบศพนายเกรียงศักดิ์ เสริมสร้างสุข อายุ 35 ปี ถูกยิงที่ลำตัวหลายนัดเสียชีวิตคาที่นั่งคนขับ
น.ส.กิติดา หอมชื่น เพื่อนผู้ตาย เล่าว่า ผู้ตายมีอาชีพขายแท็บเล็ต ได้เดินทางมาที่ จ.ปัตตานี เพื่อเร่ขายแท็บเล็ตตามโรงเรียนต่างๆ และขณะผู้ตายกำลังขับรถออกมาจากโรงเรียนเพื่อมารับตนเองที่กำลังเสนอขายแท็บเล็ตที่โรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง ระหว่างทางห่างโรงเรียนประมาณ 1 กิโลเมตร มีคนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์ตามประกบยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่
ช่วงเย็น เวลา 18.10 น. ได้เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายไม่ต่ำกว่า 5 คน ใช้รถยนต์กระบะแบบตอนครึ่ง ยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์เงิน ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน วิ่งบนเส้นทางในหมู่บ้านสายโคกดีปลี-กาหยี ถึงบริเวณหมู่ 3 บ้านโคกดีปลี ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวไทยพุทธ โดยคนร้าย 3 คนที่นั่งกระบะท้ายได้ใช้อาวุธสงครามทั้งอาก้าและเอ็ม 16 กราดยิงใส่บ้านเรือนประชาชน ทำให้ชาวบ้านต่างวิ่งหลบหนีกระสุนหาที่กำบังกันพัลวัน จากนั้นคนร้ายขับหลบหนีเข้าไปในเส้นทางบ้านกาหยี
จากการตรวจสอบปรากฏว่าพบผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย เป็นเด็ก 3 คน คือ ด.ช.ธเนศ หนูเกื้อ อายุ 11 ขวบ, ด.ช.ศุภกิจ กุลทวี อายุ 8 ขวบ, ด.ญ.อภิศรา จันทวงศ์ อายุ 4 ขวบ และนายศรายุทธ จันทวงค์ อายุ 33 ปี ทั้งหมดเป็นคนในหมู่บ้านดังกล่าว บาดแผลแต่ละคนถูกระสุนปืนบริเวณแขนขา อาการไม่สาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหนองจิก นอกจากนั้นบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ริมถนนถูกคนร้ายยิงเป็นรูเสียหายเล็กน้อยจำนวนกว่า 10 หลัง
พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พร้อมด้วยกำลังได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบปลอกกระสุนอาก้าและเอ็ม 16 ตกเกลื่อนกลาดกว่า 50 ปลอกระยะทางประมาณ 1 กม. ซึ่งคาดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์
รายงานข่าวจากหน่วยข่าวความมั่นคงที่ปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แจ้งว่า มีรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบได้เตรียมก่อเหตุร้ายกับบุคลากรทางการศึกษา 3 จังหวัดและ 4 อำเภอ จ.สงขลา อีกครั้ง แต่ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายชัดเจน จึงได้รายงานให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยความมั่นคงให้เพิ่มความระมัดระวังและคุ้มเข้มในการรักษาความปลอดภัยครูและบุคลากรทางการศึกษาพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว และให้ขอความร่วมมือกับกลุ่มมวลชนในพื้นที่ด้วย
นายวิสุทธิ์ สิงห์ขจรวรกุล กรรมการสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า การเสียชีวิตและบาดเจ็บของครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ประมาณ 300 รายในรอบ 9 ปี บางรายไม่ได้เกิดจากการสร้างสถานการณ์ แต่เป็นเรื่องส่วนตัว ศอ.บต.ต้องการหาความจริงการเสียชีวิตและบาดเจ็บ เพื่อจะได้นำมาประมวลปัญหาของเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาได้ตรงจุดต่อไป
นายวรวิทย์ บารู ประธานอนุกรรมาธิการการพัฒนาการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรมและกฎหมาย จังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา (ส.ว.) ระบุว่า จากการเข้าไปในโรงเรียนบ้านบาโงและโรงเรียนบ้านตันหยง ซึ่งครูเสียชีวิตในโรงอาหารกลางวัน และได้ประชุมร่วมกับตัวแทนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาของอนุกรรมาธิการฯ ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก โดยครูยังมีความวิตกกังวลอยู่
รายงานข่าวจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เผยว่า การจับกุมนายเจะหมะ วานิ ผู้มีส่วนร่วมวางระเบิดห้างสรรพสินค้าลีการ์เดนส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 5 ก.พ.นั้น ได้รับความร่วมมือจากประชาชน และในอนาคตหวังที่จะได้รับความร่วมมือจากประชาชน ส่วนราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ องค์กรทุกองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยหากมีเหตุอันผิดปกติหรือมีข่าวสารเกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องคดีหรือน่าเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอื่นๆ ขอได้แจ้งมาที่ โทร. 0-7326-2680, 0-7326-2681 หรือ 1241 และ 1881
ปูจ่อประกาศเคอร์ฟิว
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ทำให้ทหารเสียชีวิต 5 นายและบาดเจ็บ 1 นายที่ จ.ยะลา ว่าได้รับรายงานแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงเร่งดำเนินการ โดยต้องศึกษารายละเอียดของปัญหาต่างๆ และเครื่องมือที่ต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีพื้นที่เป็นกว้าง การดำเนินการต้องครอบคลุม เพื่อให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจะนำไปสู่การประกาศใช้เคอร์ฟิวตามแนวคิด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์ และการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบว่า ต้องดูรายพื้นที่เป็นส่วนประกอบ ไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที แต่ส่วนหนึ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดก็มีเหตุผล ต้องดูสถานที่ว่าเกิดเหตุว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือไม่ รวมถึงดูการใช้มาตรการอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใช้เครื่องมือและจำนวนเจ้าหน้าที่ว่าเพียงพอหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนชีวิตประจำวันที่ทำอยู่ ก็เหมือนกับเราอยู่ในที่แจ้ง ซึ่งต้องหามาตรการเสริมควบคู่
ถามอีกว่า กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ระบุว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้มาถูกทางแล้ว หากมีประกาศใช้จะทำให้ดูเหมือนว่าสถานการณ์ดูว่ายังมีความรุนแรงอยู่หรือไม่นั้น นายกฯ ตอบว่า รัฐบาลไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้มาตรการความรุนแรงหรือประกาศเคอร์ฟิว ตรงไหนที่ผ่อนปรนได้ก็ต้องผ่อนปรน ขณะนี้กำลังทำรายละเอียดในพื้นที่ เราเองไม่อยากเห็นการประกาศใช้เคอร์ฟิว แต่หากพื้นมีใดมีปัญหาอยู่ เราคงต้องพิจารณาตัดสินเป็นกรณีไป ไม่ได้ถึงกับบอกว่าไม่ต้องประกาศเลย แต่ขอทำรายละเอียดและหารือร่วมกับคณะกรรมการต่างๆ ก่อนถึงตัดสินใจ
“เป็นการประชุมตามวาระ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้มีการติดตามกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่แล้ว และการประชุมวันที่ 15 ก.พ.เป็นการประชุมตามวาระปกติ” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวตอบคำถามว่าจะเรียกประชุม ศปก.กปต.เร็วกว่ากำหนดหรือไม่.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น