วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 17-23 ก.พ.2556 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2556 10:45 น.

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 17-23 ก.พ.2556
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์24 กุมภาพันธ์ 2556 10:45 น.


1. สะพัด ตั้ง “พระพายัพ” เป็นพระครูปลัดฯ ทั้งที่เพิ่งบวชแค่ 10 วัน ด้าน อ.กรมศาสนา ยัน แค่ฉายา ขณะที่ “สนธิ” ซัด “พระพยอม” สอพลอ “ชินวัตร”! 
พระพายัพ น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ
       
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. มีรายงานข่าวว่า นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้เดินทางไปบวชที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยได้รับฉายาว่า “พระพายัพ เขมะคุโณ” และมีกำหนดลาสิกขาในวันที่ 11 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ได้แต่งตั้งพระพายัพให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์” 
      
       ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เผยว่า การแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ ไม่เหมาะสม เนื่องจากตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมต้องบวชมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา
      
       ด้านนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย รีบออกมาชี้ว่า การตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ เป็นสิทธิและอำนาจของสมเด็จพระธีรญาณมุนี ไม่เกี่ยวกับ พศ. ส่วนเหตุผลในการแต่งตั้งเป็นวิจารณญาณของสมเด็จพระธีรญาณมุนี “เชื่อว่าท่านคงมีเหตุผลในการตั้ง ที่ผ่านมาท่านเคยแต่งตั้งพระรูปอื่นเป็นพระฐานานุกรม เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะทำงาน แต่ไม่มีใครสนใจ แต่คราวนี้พระพายัพ นามสกุลชินวัตร เลยถูกจับตามองจากสังคม” 
      
       ขณะที่พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว พูดถึงการตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ ว่า การตั้งพระฐานานุกรม มีการกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ 2 ข้อ 1.ต้องอุปสมบทมาหลายพรรษา และ 2.ต้องมีผลงานการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา และว่า เห็นข่าวว่า พระพายัพมีผลงานการสร้างโบสถ์ หากเป็นเช่นนั้นจริง พระพายัพก็มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมได้ “ปัญหานี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าพระพายัพ ไม่ได้เป็นน้องชายของคนชื่อทักษิณ” ส่วนกรณีที่หลักการกำหนดให้พระที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม ต้องบวชหลายพรรษานั้น พระพยอม บอกว่า “เราไม่ควรจะไปยึดเรื่องพรรษากันได้แล้ว เพราะพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา แต่ไม่เคยทำคุณงามความดี หรืออะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่งอะไรให้เลย” 
      
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงการตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ โดยตั้งคำถามว่า หากมีใครบวชแค่ไม่กี่วัน แล้วไม่ได้นามสกุลชินวัตร จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดฯ หรือไม่ และถ้ายึดหลักที่พระพยอมบอกว่า พระพายัพได้ทำคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาด้วยการสร้างโบสถ์ ถ้าเช่นนั้น เหตุใดทำไมตอนที่ตนบวชที่วัดป่าบ้านตาด จึงไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดฯ ทั้งที่ตนเคยซื้อที่เกือบ 100 ไร่ให้วัดกุดโพนทันของหลวงพ่อญา ทั้งนี้ นายสนธิ ชี้ว่า การแปลพระวินัยเข้าข้างตัวเองของพระพยอม เข้าข่ายสอพลอคฤหัสถ์ เพราะความดีที่ทำตอนเป็นคฤหัสถ์ไม่สามารถนำมาต่อยอดให้กับความเป็นพระได้
      
       นายสนธิ ยังข้องใจการบวชของพระพายัพด้วยว่า หากบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศล แค่บวชอย่างเดียวก็น่าจะจบ ถ้าไม่ต้องการตำแหน่งก็ปฏิเสธได้ นี่แสดงว่าเจตนาการบวชของพระพายัพไม่ได้ต้องการรักษาพรหมจรรย์ในฐานะที่จะเป็นพระภิกษุ หรือว่าพวกชินวัตรจะเข้าวงการไหน ต้องใหญ่หมด และที่น่าอับอายขายหน้ามาก พระมหาเถระก็ยอมที่จะทำพระธรรมวินัยด้วย และที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่พระพยอมพูดแก้ตัวให้พระพายัพว่า ควรเลิกนับถือพรรษากันได้แล้ว แสดงว่าคนอย่างพระพยอมยังไม่เข้าใจพระธรรมวินัยเลย ถ้าพระพยอมจะสอพลอพวกชินวัตร ก็สอพลอไป แต่ไม่ควรมาจาบจ้วงพระธรรมวินัย
      
       ทั้งนี้ หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ ปรากฏว่า นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ออกมายืนยันว่า ไม่ได้มีการแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระฐานานุกรมแต่อย่างใด โดยบอกว่า เมื่อพระพายัพบวช พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้ว่า “พระครูปลัด” ซึ่งเป็นเพียงแค่ฉายาเท่านั้นและว่า การจะได้รับตำแหน่งพระฐานานุกรม จะต้องผ่านการบวชมาไม่น้อยกว่า 10 พรรษา ต้องเป็นพระที่มีคุณงามความดีเผยแผ่พุทธศาสนา และต้องเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น สมณศักดิ์ของพระจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องมีการปฏิบัติเช่นข้าราชการทั่วไป โดยกรณีของพระพายัพยังไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำยืนยันเรื่องนี้จากสมเด็จพระธีรญาณมุนีและพระพายัพ ที่มีกำหนดเดินทางกลับจากอินเดียในวันที่ 23 ก.พ.แต่อย่างใด
       
       2. สารพัดวิชามารหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. ตัดต่อภาพดาราหนุนเบอร์ 9 ด้าน “พงศพัศ” ยัน เปล่าทำ! 
ภาพเปรียบเทียบภาพจริงและภาพที่ถูกตัดต่อของดาราเพื่อให้คนที่เห็นเข้าใจผิดคิดว่าบุคคลเหล่านี้หนุนผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย
       
ความเคลื่อนไหวก่อนโค้งสุดท้ายในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้ออกมาย้ำว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ พ.ศ.2545 ไม่ใช่ 90 วันตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ส่วนที่มีข่าวว่า มีการย้ายประชาชนจากต่างจังหวัดเข้าทะเบียนบ้าน เพื่อให้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ นายสมชัย บอกว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การโอนย้ายดังกล่าวไม่ใช่เพื่อใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เพื่อสิทธิประโยชน์ด้านอื่น เช่น การรักษาพยาบาล หรือสิทธิในการเข้าเรียนของบุตร และว่า การย้ายช่วงนี้เป็นการย้ายตามปกติ แต่ถ้าใครพบว่ามีการย้ายคนเข้ามาในทะเบียนบ้านแบบผิดปกติ โดยที่เจ้าบ้านไม่อนุญาต จะมีความผิด ผู้พบเห็นสามารถยื่นร้องมาที่นายทะเบียนประจำสำนักงานเขต และนายวีระ ยี่แพร ผู้อำนวยการ กกต.กทม.ได้ทันที
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งใกล้โค้งสุดท้าย ก็เริ่มมีการใช้วิชามารในการหาเสียง โดยเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ได้มีการเผยแพร่ภาพตัดต่อของดาราชื่อดังหลายคนบนเฟซบุ๊กเพื่อให้ผู้ที่เห็นเข้าใจผิด คิดว่า ดาราคนนั้นสนับสนุน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย โดยดาราที่ถูกตัดต่อภาพ ได้แก่ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องชื่อดัง ,ณเดชน์ คูกิมิยะ ดารานักแสดงชื่อดัง และบัวขาว ป.ประมุข นักมวยชื่อดัง ซึ่งภายหลัง มีผู้เล่นเฟซบุ๊กจับได้ว่า คนที่โพสต์ภาพตัดต่อของบัวขาวคือ กลุ่มเสื้อแดง-นปช. โดยผู้ที่จับได้ โพสต์ข้อความว่า “ไอ้หยา คาหนังคาเขา ! จับได้แล้วใครแอบอ้างดารา เชียร์ พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ลงสมัคร เลือกตั้งผู้ว่า พรรคเพื่อไทย !! ที่แท้ ... ผีโม่แป้งคือ เว็บไซด์เฟสบุ๊ก "เสื้อแดงคลับ Red club" โดยมีโลโก้ นปช. และมีข้อความเชิญชวนชัดเจนว่า "นักชกบัวขาว ก็ยังเชียร์ เบอร์ 9 อิอิ ^__^" 
      
       ขณะที่เฟซบุ๊ก Bird Thongchai ของนักร้องชื่อดัง เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ได้โพสต์ข้อความยืนยันว่า ภาพของตนถูกตัดต่อ "ช่วงนี้ถ้าใครเห็นรูปพี่เบิร์ดไปเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนตัวบุคคลที่เข้ามาชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ขอให้ทราบกันว่าเป็น "ภาพตัดต่อลงไปบนโทรศัพท์มือถือ" พี่เบิร์ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนบุคคลใดๆทั้งสิ้นครับ ขอบคุณครับ" 
      
       ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตรวจสอบการตัดต่อภาพดารา เพราะอาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นสนับสนุนผู้สมัครคนดังกล่าว และลงคะแนนให้ได้ ถือว่าส่อผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น
      
       ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ รีบออกมาบอกว่า ยังไม่ทราบต้นตอที่มาที่ไปและยังไม่เห็นภาพดังกล่าว และว่า ในการหาเสียง ตนได้ยึดตามประกาศของ กกต.มาโดยตลอด และพร้อมจะไปแสดงความบริสุทธิ์ใจกับ กกต.ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ตนไม่ได้เป็นคนโพสต์
      
       อย่างไรก็ตาม นอกจากกรณีตัดต่อภาพดังกล่าวแล้ว ยังมีกรณีนักวิชาการคนหนึ่งไม่ชอบพรรคเพื่อไทย จึงนำสติ๊กเกอร์ไปติดที่ป้ายหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ มีข้อความว่า “เผาบ้านเผาเมือง” และ “ไม่เลือกผู้ว่าฯ สร้างภาพ” ทราบชื่อคือ นายหทัยวุฒิ สายทอง อายุ 45 ปี นักวิชาการศึกษา 5 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กรุงเทพฯ โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน จับกุมขณะเตรียมนำสติ๊กเกอร์ไปติดที่ป้ายหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ ทั้งนี้ นายหทัยวุฒิ สารภาพว่าเป็นผู้ติดสติ๊กเกอร์ดังกล่าวจริง และเป็นผู้จัดทำสติ๊กเกอร์ด้วยตัวเอง สาเหตุที่ทำ เพราะไม่ชอบพรรคเพื่อไทยเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร พร้อมยืนยัน ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มการเมืองใดใด
      
       ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มร้องเรียน กกต.ว่ามีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะซื้อเสียงประชาชน ช่วยเหลือผู้สมัครบางพรรค โดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสัญญา จันทรรัตน์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เขตวังทองหลาง ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต.กลางและ กกต.กทม.ขอให้ตรวจสอบกรณีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำแบบสำรวจข้อมูลครัวเรือนเพื่อการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม ไปทำสำรวจกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน กทม. โดยมีการอ้างกับประชาชนว่า หากประชาชนให้ข้อมูลในแบบสอบถามแล้ว จะได้รับเงินชุดละ 1 พันบาทหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จึงได้นำเอาวิดีโอบันทึกภาพ พร้อมเอกสารถอดเทปการพูดคุยระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งกับผู้ทำแบบสอบถามมาให้ กกต.เป็นหลักฐาน ด้าน กกต.กทม.อ้างว่า คำร้องดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ดังนั้นจะต้องเรียกผู้ร้องมาให้ถ้อยคำเพิ่ม
      
       ส่วนการทำโพลของสำนักต่างๆ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังระบุว่า คน กทม.เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย มากกว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจพบว่า ร้อยละ 46.69 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะที่ร้อยละ 32.99 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ส่วนนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) สำรวจพบความนิยมของผู้สมัครทั้ง 2 พรรคค่อนข้างสูสีกัน โดยร้อยละ 26.80 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะที่ร้อยละ 25.86 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ส่วนอีกร้อยละ 36.84 ยังไม่ตัดสินใจ
       
       3. โจรใต้ บึ้มป่วนไม่เลิก เชื่อตอบโต้วิสามัญ 16 ศพ ขณะที่ รบ.เล็งใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ม. 21 เปิดช่องคนหลงผิดมอบตัว! 

คนร้ายวางระเบิดหน้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ตรงข้ามกองบังคับการกรมทหารพรานที่ 45 เขตเทศบาล ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย(23 ก.พ.)
       
สัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า เป็นการตอบโต้หลังผู้ก่อความไม่สงบบุกโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กองทัพเรือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ และถูกวิสามัญฆาตกรรมไปรวม 16 ศพ
      
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ได้เกิดระเบิดขึ้นที่หน้าร้านกาแฟ บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา ปากทางเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี แรงระเบิดทำให้อาสาสมัครเสียชีวิต 3 คน ประกอบด้วย อส.วิโรจน์ จันทศิริ ,อส.มะกรี ดือเระ และ อส.อธิพล อาแช
      
       ต่อมาวันที่ 19 ก.พ. ได้เกิดเหตุคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ขว้างระเบิดเข้าใส่กลุ่มทหาร ร้อย ร.5032 หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 ขณะเล่นฟุตบอลในฐานปฏิบัติการภายในวัดหลักห้า อ.เมือง จ.ยะลา ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 8 นาย 
      
       ต่อมาวันที่ 22 ก.พ. คนร้ายได้ยิงเอ็ม 79 ถล่ม สภ.กะพ้อ จ.ปัตตานี จำนวน 3 ลูก โดยกระสุนตกระหว่าง สภ.กะพ้อกับแฟลตตำรวจ ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 7 นาย นอกจากนี้ช่วงเช้าวันเดียวกัน คนร้ายยังได้กดชนวนระเบิดขณะทหารร้อย ร.2514 ฉก.ปัตตานี 24 กำลังดูแลความปลอดภัยครูอยู่ในโรงเรียนบ้านเกาะตา ริมถนนสาย 419 หมู่ 3 ต.ทุ่งพลา อ.โคกโพธิ์ แรงระเบิดทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 นาย
      
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ได้เกิดระเบิดขึ้นอีกบริเวณถังขยะหน้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ซึ่งอยู่ตรงข้ามกองบังคับการกรมทหารพรานที่ 45 เขตเทศบาล ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.อ.จิระเดช พระสว่าง ผู้กำกับการ สภ.ระแงะ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ แต่ปรากฏว่า ได้เกิดระเบิดขึ้นอีก 1 ครั้ง บริเวณรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายนำมาจอดทิ้งไว้ที่หน้าประตูทางเข้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย เป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนที่ว่าการ อ.ระแงะ ขณะที่ผู้กำกับการ สภ.ระแงะ รอดตายหวุดหวิด
      
       ทั้งนี้ รัฐบาลเริ่มมีแนวคิดจะแก้ปัญหาความไม่สงบด้วยการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 21 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุที่หลงผิดเข้ามอบตัว แต่ยังไม่สรุปว่าจะใช้หรือไม่ ซึ่งนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาสนับสนุนให้รัฐบาลใช้มาตรา 21 โดยบอกว่า เรื่องนี้ สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยใช้มาก่อนแล้ว เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่หลงผิดเข้ามอบตัวต่อรัฐ และนำคนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการอบรม 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยความเห็นชอบของศาลด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้ผลดีมาก
      
       ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศปก.กปต.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งอดีต ส.ส.กลุ่มวาห์ดะ 9 คนเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา 2.นายเด่น โต๊ะมีนา 3.นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ 4.นายซูการ์โน มะทา 5.นายนัจมุดดิน อูมา 6.น.ส.เพชรดาว โต๊ะมีนา 7.นายอับดุลเราะห์มาน อับดุลสมัด 8.นายสุธิพันธ์ ศรีริกานนท์ และ 9.นายสุดิน ภูยุทธานนท์ โดยบุคคลทั้ง 9 มีหน้าที่ให้คำปรึกษา เสนอความเห็น วิเคราะห์ และเสนอแนะงานด้านต่างๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
       
       4. พม่า เตรียมปิดซ่อมแท่นผลิตก๊าซยาดานา 5-14 เม.ย. ส่งผลไทยเจอวิกฤตพลังงาน ขณะที่ กทม.-ภาคใต้ส่อไฟดับบางโซน! 
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
       
เมื่อวันที่ 18 ก.พ. นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า พม่าจะหยุดจ่ายก๊าซในแหล่งยาดานา เนื่องจากแท่นผลิตทรุด จึงจะหยุดเพื่อซ่อมระหว่างวันที่ 4-12 เม.ย. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของไทย ที่ปกติต้องได้รับก๊าซดังกล่าวมาผสมให้ค่าความร้อนเหมาะสม ต้องหยุดดำเนินการลงด้วย ทำให้ก๊าซหายไปจากระบบ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งจะกระทบต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าฝั่งตะวันตกของไทย ให้หายไปอย่างน้อย 4,100 เมกะวัตต์ “พม่าแจ้งมาที่จะหยุดซ่อมช่วง 4-12 เม.ย. เราเองก็พยายามจะเจรจาให้เลื่อนไปช่วงสงกรานต์ เพราะโรงงานอุตสาหกรรมหยุดมาก จะได้หรือไม่...” 
      
        ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) บอกว่า การหยุดซ่อมแท่นผลิตก๊าซของพม่าครั้งนี้ ต่างจากแผนหยุดซ่อมทั่วไปตรงที่ความต้องการใช้ไฟของไทยสูงขึ้น แต่สำรองไฟฟ้าพร้อมใช้(ฮอต สแตนบาย) ต่ำผิดปกติ เหลือเพียง 600 เมกะวัตต์ จากมาตรฐานที่ 1,200 เมกะวัตต์ ประกอบกับช่วงเดือน เม.ย.จะมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(พีค) โดยประเมินว่า ปีนี้ปริมาณการใช้ไฟน่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นเมกะวัตต์ มากกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ ขณะที่กำลังผลิตไฟฟ้ารวมของไทยอยู่ที่ 3.2 หมื่นเมกะวัตต์ ดังนั้นหากการใช้ไฟสูงกว่าที่คาดไว้ ก็อาจเสี่ยงไฟดับบางพื้นที่ แต่ยังไม่ถึงขั้นไฟดับทั่วประเทศ และว่า พื้นที่ที่ไฟฟ้าอาจดับมี 2 จุด คือ บางส่วนของกรุงเทพฯ และบางส่วนของภาคใต้ เพราะทั้งสองแหล่งรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทางภาคตะวันตก
      
        ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ได้หารือกรณีพม่าจะหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่งยาดานาช่วงเดือน เม.ย. ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือประชาชน พร้อมกันนี้ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยราชการทั้งหมดรณรงค์ประหยัดไฟฟ้า โดยนำทุกมาตรการที่มีอยู่มาใช้ และขอความร่วมมือประชาชนในการช่วยกันประหยัดไฟด้วย 
      
       ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า การที่พม่าจะหยุดจ่ายก๊าซในเดือน เม.ย. จะส่งผลกระทบให้คนไทยต้องจ่ายค่าเอฟทีเพิ่ม เนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันเตา ส่วนค่าเอฟทีจะเพิ่มเท่าไร ต้องรอให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นผู้กำหนด และว่า ความเสี่ยงครั้งนี้ เกิดจากการที่ไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป คือ มีสัดส่วนกว่า 70% จึงควรกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นเพิ่มขึ้น เช่น ถ่านหินสะอาด และเอทานอล
      
       ขณะที่นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ไม่เห็นด้วยหากจะมีการปรับขึ้นค่าเอฟที โดยชี้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรับภาระนี้แทน
      
       ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 20 ก.พ. เพื่อรับมือวิกฤตพลังงานช่วงเดือน เม.ย. ที่พม่าจะหยุดซ่อมแท่นผลิตก๊าซว่า หลังจากได้เจรจากับบริษัท โททาล ผู้ผลิตก๊าซในแหล่งยาดานาของพม่าแล้ว สรุปว่า พม่าจะเลื่อนการหยุดซ่อมประจำปีออกไป 1 วัน จากวันที่ 4-12 เม.ย. เป็น 5-14 เม.ย.แทน แต่ไทยยังต้องเฝ้าระวังวันที่ 5 เม.ย. เพราะเป็นวันที่คาดว่าอุณหภูมิจะสูงสุดของปี ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่ต่ำกว่า 26,000 เมกะวัตต์ แต่จะถึง 27,000 เมกะวัตต์ หรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ “วันที่ 5 เม.ย. กระทรวงฯ จะจัดงานรณรงค์ให้ข้าราชการ ประชาชน และเอกชนลดการใช้ไฟทั่วประเทศช่วง 14.00น.เป็นต้นไป ยอมรับว่าไม่สามารถรับประกันเรื่องปัญหาไฟดับได้ แต่หากโรงไฟฟ้าใดเกิดปัญหา อาจทำให้พื้นที่ภาคใต้และกรุงเทพฯ บางส่วนไฟดับได้” 
      
        ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าเอฟทีนั้น นายพงษ์ศักดิ์ ยังคงยืนยันว่า ค่าไฟขึ้นแน่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) รายงานว่า ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีหลังอาจต้องปรับเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2.20 สตางค์ต่อหน่วย โดยคำนวณจากค่าเชื้อเพลิงน้ำมันเตาและดีเซล ซึ่งเดิม กกพ.คิดจากการใช้ไฟช่วงที่พม่าปิดซ่อมประจำปีตามปกติ 1.70 สตางค์ต่อหน่วย แต่เมื่อพม่าหยุดซ่อมเร็วกว่าปกติ จึงต้องบวกเพิ่มอีก 0.48 สตางค์ต่อหน่วย
      
        วันต่อมา(21 ก.พ.) นายพงษ์ศักดิ์ ได้หารือกับนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และคณะ เพื่อหาทางรับมือวิกฤตพลังงานช่วงเดือน เม.ย. โดยนายพงษ์ศักดิ์ได้เสนอให้ภาคอุตสาหกรรมหยุดทำการผลิตหรือหยุดงานในวันที่ 5 เม.ย. และไปทำงานในวันที่ 7 หรือ 11 เม.ย.แทน ซึ่ง ส.อ.ท.จะกลับไปหารือกับสมาชิกทั้ง 42 กลุ่มอุตสาหกรรมอีกครั้งว่าจะหยุดงานในวันดังกล่าวได้หรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น