วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รายงานพิเศษ: ปรับโฉมกลาโหมจาก เคล็ด 'เสาธง' ถึง เคล็ดเหนียว 1 ปี 'สุกำพล' กับ 'บิ๊กเจี๊ยบ' ผบ.สส. 3 มิติ เมื่อ 8 ก.พ.56



คอลัมน์: รายงานพิเศษ: ปรับโฉมกลาโหมจาก เคล็ด 'เสาธง' ถึง เคล็ดเหนียว 1 ปี 'สุกำพล' กับ 'บิ๊กเจี๊ยบ' ผบ.สส. 3 มิติ


          ทหารกับความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ เป็นเรื่องธรรมดา ในยามจะรบทัพจับศึก ก็ต้องดูฤกษ์ยาม คล้องพระเต็มคอ ถือเคล็ดนั่นนี่ เพื่อความสำเร็จและชัยชนะ แม้แต่จะปฏิวัติรัฐประหารก็ยังต้องดูฤกษ์ยาม
          กระทรวงกลาโหม จึงมีการปรับโฉมครั้งใหญ่...
          ทั้งๆ ที่กว่าจะได้มาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ก็มีเรื่องมีราวใหญ่โต ถึงขั้นที่ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ต้องเชือด พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ และอีก 2 พลเอก ด้วยการย้ายฟ้าผ่าเข้ากรุ หลังทำหนังสือร้องเรียนนายกรัฐมนตรีและสื่อ กล่าวหา รมว.กลาโหม แทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล สู้กันในศาลปกครอง แถมทำให้เพื่อน ตท.11 ทั้ง พล.อ.เสถียร กับ พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ ต้องทะเลาะจนแทบไม่มองหน้ากัน
          แต่ บิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ก็กลับเก็บตัวเงียบ ขอที่จะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ และไม่เป็นข่าว
          ทว่า เขากลับนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่กระทรวงกลาโหมอย่างมากในด้านกายภาพ เพราะมีการปรับภูมิทัศน์ ปรับฮวงจุ้ยใหม่หมด ทั้งการตัดโค่นต้นไม้ใหญ่อายุหลายสิบปี ที่อยู่คู่กลาโหม อย่าง ต้นประดู่ ที่ให้ร่มเงา มาเป็น ต้นบุนนาค ที่แม้จะดูสวยงาม แต่ก็ทำให้กลาโหมร้อน ไร้ร่มเงา
          โดยเฉพาะการปรับฮวงจุ้ยหน้าศาลเจ้าพ่อหอกลองใหม่หมด ต้นไม้เก่าแก่ ถูกเปลี่ยนเป็นต้นปาล์ม และจัดสวนหย่อมใหม่ และจัดทำลานเจ้าพ่อหอกลอง ที่ปกติใช้เป็นลานจอดรถ แต่ในยามมีงานจะเป็นลานตรวจพลสวนสนาม ต้อนรับแขกผู้มาเยือน
          ด้วยเพราะ "ลานสนามไชย" แห่งนี้ สมัยก่อน ใช้เป็นสถานที่ที่ในหลวงมาพระราชทานกระบี่ให้นายร้อย จปร. ที่จบเป็นนายทหาร ทุกกระเบียดนิ้วในกลาโหม จึงล้วนมีตำนานและความศักดิ์สิทธิ์
          โดยเฉพาะเจ้าพ่อหอกลอง หรือเจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน) ทหารเอกพระเจ้าตากสินฯ ที่เชี่ยวชาญการศึกด้วยหอก ที่เวลาออกรบชอบให้ทหารลั่นกลองศึก นั้นศักดิ์สิทธิ์มาก
          รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปภาพผู้บังคับบัญชาที่ติดตามผนังตึก ในแผนกต่างๆ ใหม่หมด และแน่นอนย่อมต้องมี  ม็อตโต้ประจำตัวที่ว่า "มีวินัยและน้ำใจ ทำอะไรก็สำเร็จ"  Spirit  and Discipline, Nothing Impossible.
          ที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนเสาธงสูงใหญ่ หน้ากลาโหมใหม่ จากเดิมที่เป็นเสาที่ใช้เหล็กต่อกัน 3 ท่อน พล.อ.ทนงศักดิ์ ให้ทำใหม่ เพื่อให้เป็นเหล็กท่อนเดียวกัน ว่ากันว่า เขาต้องการให้เกิดความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งก๊กแบ่งเหล่า แบ่งสี เช่นทุกวันนี้
          โดยเขามาทำพิธียกเสาธงเก่าลงด้วยตนเอง
          ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ จะปรับเปลี่ยนปืนใหญ่ 42 กระบอก ที่หน้ากลาโหม ด้วยหรือไม่ เพราะในปี 2547 ที่ไฟใต้ปะทุ ในยุค บิ๊กเหวียง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็น รมว.กลาโหม เคยสั่งจัดวางปืนใหญ่ทั้งหมดใหม่ โดยเฉพาะปืนพญาตานี จากที่หันปากกระบอกปืน เข้าหาวัดพระแก้ว หรือพระบรมมหาราชวัง ก็ให้หันไปด้านข้าง ข้างหนึ่งหันไปทางศาลหลักเมือง สนามหลวง อีกด้านหันทางวังสราญรมย์เดิม เพราะเชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ดีขึ้น เนื่องจากปืนพญาตานี เป็นปืนอาถรรพณ์ ที่สยามเคยยึดเป็นเครื่องบรรณาการมาจากรัฐปัตตานี จนทำให้เกิดความเจ็บแค้น ที่เชื่อกันว่า อาจมีส่วนทำให้ภาคใต้ลุกเป็นไฟ
          แม้ทาง จ.ปัตตานี จะขอปืนพญาตานีนี้กลับไปเพื่อแก้เคล็ด และเป็นการคืนของสำคัญให้ปัตตานี แต่ทางกลาโหม ก็ไม่อนุมัติ เนื่องจากถือว่าเป็นของโบราณ และเกรงว่าจะส่งผลให้เกิดอาเพศใดๆ ขึ้นมาอีก
          แต่ที่สุด ไฟใต้ก็ยังไม่มอดดับ มีแต่แรงขึ้นๆ แถมตัว พล.อ.เชษฐา เอง ก็หลุดจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม ทั้งๆ ที่นั่งอยู่แค่ 7 เดือน
          ประการหนึ่ง เพราะ พล.อ.ทนงศักดิ์ มีความเชื่อในเรื่องแบบนี้ จะเป็นด้วยเพราะเติบโตมาในภาคเหนือ จนถึงเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 แถมทั้งยังเคยเป็นศิษย์สำนักหลวงปู่เกวาลัน ของ อ.วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ อดีตโหร คมช. อีกด้วย
          อีกประการหนึ่ง เมื่อนำเรียน พล.อ.อ.สุกำพล เจ้ากระทรวง เองก็เห็นด้วย เพราะ พล.อ.อ.สุกำพล ก็เชื่อเรื่องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เพราะตัว พล.อ.ทนงศักดิ์ จะเกษียณกันยายน 2556 นี่แล้ว
          แต่ พล.อ.อ.สุกำพล อยู่ได้เรื่อยๆ ถ้าเหนียวจริง
          "ก็
          ดูสะอาด สวยงาม ดี" บิ๊กโอ๋ เปรย แต่ก็ออกตัวว่า "ผมเป็นคนไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก ไม่เคยไปดูหมออะไร มีแต่คนดูมาให้ แล้วมาบอก" บิ๊กโอ๋ เผย
          แต่ทว่า ในการติดรูป พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กลาโหมคนที่ 60 กลับไม่ยอมเอาไปเรียงต่อจากคนก่อนๆ แต่เป็นการเริ่มแถวใหม่ การปรับทิศโต๊ะทำงาน การวางพระพุทธรูป และการใช้นามเรียกขานใหม่ว่า "หอกลอง 1" จากเดิมที่เคยใช้ "สนามไชย 1" ก็ถูกซุบซิบว่า เล่นเคล็ดเหมือนกัน
          กล่าวกันเสมอว่า กระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงศักดิ์สิทธิ์ ที่นอกจากจะเก่าแก่กว่า 125 ปีแล้ว ยังมีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งวัดพระแก้ว และศาลหลักเมือง ที่สำคัญ ห้องทำงาน หรือโต๊ะทำงานของ รมว.กลาโหม ก็จะมีวัดพระแก้ว เป็นฉากหลัง ที่ถือว่าสวยงามที่สุด แต่ก็ต้องทำแต่คุณงามความดีเท่านั้น
          ไม่มีใครรู้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล ถือเคล็ด หรือเล่นของอะไรหรือไม่ ที่ทำให้เก้าอี้ รมว.กลาโหม ของเขามั่นคงเหนียวแน่น นั่งมาครบ 1 ปี ตั้งแต่ 18 มกราคม 2555 แล้ว แต่ประการหนึ่ง เพราะเขาคือเพื่อนรัก ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ใกล้ชิดกับ คุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ เพราะดูแลกันมาในยามตกยากหลังถูกปฏิวัติ
          ความเหนียวของ พล.อ.อ.สุกำพล นี้ ถึงขั้นที่ทำให้ พ..ท.ทักษิณ ส่ง บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต เพื่อน ตท.10 และเครือญาติ ฉายา "ว่าที่พ่อตา โอ๊ค พานทองแท้" ที่จ่อคิวรอเป็น รมว.กลาโหม มานาน ต้องขยับไปเป็น รมช.คมนาคม แต่ก็หวาดๆ กันว่า ยังหวังที่จะมาเป็นเจ้ากระทรวงปืนใหญ่
          จนส่งผลให้ 2 โอ๋ สุวรรณทัต มีอาการหวาดระแวงกันเองเกิดขึ้นบ้าง เพราะ พล.อ. พฤณท์ เองก็หวังที่จะกลับมาผงาดในกลาโหม เพื่อลบคำสบประมาท ที่เส้นทางใน ทบ. เขาไม่สวยงาม แม้จะเป็น ผบ.พล.1 รอ. แต่ก็ถูกปฏิวัติ แล้วก็เข้ากรุมาตลอด เขาจึงต้องการสวมเครื่องแบบ เดินกลับมาเหยียบกองทัพอย่างองอาจ ในฐานะ รมว.กลาโหม สักวันหนึ่ง
          แม้ว่ากลาโหม จะเป็นกระทรวงเกรดเอ แต่รู้กันดีว่า มีความสำคัญ เพราะต้องมาคุมกองทัพ คุมทหารที่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการเมือง เรียกว่า มีอำนาจ และมีเกียรติ มากกว่าเรื่องผลประโยชน์ แต่ก็เสียวทุกครั้งที่มีข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี
          แต่ทว่า การเป็นทั้งเหยี่ยวและพิราบของ พล.อ.อ.สุกำพล มีทั้งความเด็ดขาด แข็งแกร่ง และอ่อนโยน ประนีประนอม ของ พล.อ.อ.สุกำพล ก็ทำให้เขาถูกมองว่า เอากองทัพได้อยู่ เพราะบทห้าวบทโหด ก็น่าใจหาย เพราะไม่มีใครคิดว่าจะกล้าย้าย พล.อ.เสถียร ซึ่งเป็นทหารแตงโม ที่สนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน
          แต่เมื่อได้ไฟเขียวจากเพื่อนแม้ว ที่ไม่พอใจที่ พล.อ.เสถียร นำเรื่องไปร้องเรียนทั้ง ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และไปร้อง บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ลูกป๋า อีก เพราะถือว่าเป็นคนละพวก คนละสาย
          นั่นจึงเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ถึงขั้นที่ พล.อ.เสถียร เตือนบรรดา ผบ.เหล่าทัพ ที่ไปเข้าข้าง รมว.กลาโหม ไว้ก่อนอำลาว่า "อีกหน่อย ก็ให้ระวัง ว่า ผบ.เหล่าทัพจะโดนเหมือนกัน"
          แต่ 1 ปีที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล กับ ผบ.เหล่าทัพ ภายใต้การนำของ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ก็เป็นไปอย่างพี่น้อง สนิทสนม แม้จะมีระยะห่างเรื่องเหล่าทหารบกกับทหารอากาศ ที่ไม่เคยรับราชการด้วยกันมาบ้างก็ตาม แต่ภาพของ รมว.กลาโหมกับกองทัพ ก็ไม่ปรากฏความขัดแย้ง
          โดยเฉพาะระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพล กับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ใครๆ มองว่า "แรง" และ "ร้อน" ด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็กลับพูดคุยกันได้ โดยมีผลจากการโยกย้ายที่ผ่านมา เป็นสิ่งยืนยัน เพราะมีทั้งการ ให้ ขอ และ ยอม กันของทั้งสองฝ่าย ด้วยดี
          มีอยู่เรื่องเดียวที่อาจทำให้ดูว่าขัดกันอยู่ คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการรื้อฟื้นคดีหนีทหาร และใช้เอกสารปลอมสมัครเป็นนายทหาร และการถอดยศร้อยตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
          ไม่ใช่เพราะ ทบ. สรุปปิดคดีนี้ไปตั้งแต่ปี 2542 แล้วเท่านั้น แต่ในยุคของพี่เลิฟของ พล.อ.ประยุทธ์ หลายคนที่เป็น ผบ.ทบ. ก็เคยให้การช่วยเหลือนายอภิสิทธิ์ มาแล้วทั้งนั้น แถมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยทำงานกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในการสู้ศึกเสื้อแดงมาด้วยกัน
          จึงไม่แปลกที่แม้ พล.อ.อ.สุกำพล จะสั่งการ ทบ. โดยโรงเรียนนายร้อย จปร. ในฐานะต้นสังกัดทำเรื่องทูลเกล้าฯ ให้ถอดยศ ร้อยตรี อภิสิทธิ์ แล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นผลงานทางการเมืองของ พล.อ.อ.สุกำพล เลยทีเดียว
          เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง "เดี๋ยวจะหาว่าผมขัดแย้งกับ รมว.กลาโหม" ฝ่าย พล.อ.อ.สุกำพล ก็ไม่อยากให้ถูกมองว่า ตนเองเสียหน้า ที่สั่งแล้ว ผบ.ทบ. ไม่ทำ จึงให้เรื่องนี้เงียบๆ ไป อีกทั้งไม่มั่นใจว่า หากทูลเกล้าฯ ไปแล้ว จะมีโปรดเกล้าฯ ลงมาหรือไม่
          รวมถึงการที่ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องการให้ ทบ. ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตเองในประเทศ โดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สปท.-DTI-Defense Technology Institute) ของกลาโหม ที่จับมือเอกชนผลิต โดยเริ่มจาก ซื้อรถเกราะ ที่ สปท. จะผลิตได้เองเสร็จใน 3 ปี แต่ดูท่าว่า ทบ. ต้องการซื้อรถเกราะ  BTR จากยูเครน เพิ่มอีก
          พล.อ.อ.สุกำพล หวังที่จะทำให้ สปท. เติบโตและมั่นคง โดยลั่นวาจาว่า "กองทัพ จะต้องเป็นลูกค้ารายใหญ่" โดยเขาให้ พล.อ.อ.พงศธร บัวทรัพย์ เพื่อนรัก ตท.10 ลูกทัพฟ้าคนเก่งของรุ่นมาเป็นประธาน และมีนายทหารจากสามเหล่าทัพ ในแผงอำนาจเดียวกันเข้ามาเป็นบอร์ด แต่ก็ดูจะไม่สดใส เพราะ ทบ.เหล่าทัพใหญ่ ไม่เอาด้วย
          แต่ก็เป็นเรื่องที่เก็บกันไว้ในใจ เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ระบบและธรรมเนียมที่เป็นมา
          แต่ในส่วนอื่นถือว่า พล.อ.อ.สุกำพล กับ ผบ.เหล่าทัพ ยังคงเป็นหนึ่งเดียวและสะท้อนความเป็นพี่น้อง ที่มีการพบปะกันแบบส่วนตัว ทั้งที่บ้าน พล.อ.อ.สุกำพล แถว ก.ม.27 ลำลูกกา และที่ห้องทำงานในกลาโหม และงานเลี้ยงทานข้าวกันในเทศกาลต่างๆ
          แต่ที่ได้พบกันบ่อยๆ ทุกเดือนคือ ก่อนการประชุมสภากลาโหม ที่จะมีการพบกัน แบบ "วงเล็ก" ของ พล.อ.อ.สุกำพล กับปลัดกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ. 3 เหล่าทัพ ก่อน เพื่อหารือเรื่องสำคัญเร่งด่วนและที่ต้องตกลงใจ หรือเรื่องลับ แล้วค่อยไปประชุมวงใหญ่ ในบางเรื่องเท่านั้น
          พล.อ.อ.สุกำพล ก็พยายามสร้างผลงานด้านอื่นๆ ทั้งการเดินทางไปเยี่ยมเหล่าทัพ ในทุกกองทัพภาค ไปนอนในค่ายกับทหาร ทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก โดยเฉพาะ 3 จังหวัดใต้ที่เขาจะลงไปอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และจะไปนอนค้างในค่ายกับทหารด้วย และเปิดเว็บไซต์ส่วนตัว sukampol.com เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานและภารกิจ
          เมื่อ พล.อ.อ.สุกำพล ดูแลกองทัพ แบบที่เรียกว่า เอาอยู่ ก็จึงทำให้แนวคิดในการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 ถูกพับใส่ลิ้นชักไป จากที่เคยถูกมองว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต้องการจะแทรกแซงกองทัพและการโยกย้ายทหาร จากการแก้ พ.ร.บ. ฉบับนี้
          อีกทั้งภาพลักษณ์ของ ผบ.เหล่าทัพ ในแผงอำนาจนี้ ก็เป็นหนึ่งเดียว เพราะ พล.อ.ธนะศักดิ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเพื่อน ตท.12 และใกล้ชิดกับ บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และ บิ๊กจิน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. ที่เป็นน้อง ตท.13
          แถมทั้ง การที่ บิ๊กอู๋ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เทียบเท่า และเป็นเพื่อน ตท.13 กับ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ และ พล.อ.อ.ประจิน ก็ยิ่งทำให้มีความใกล้ชิด และดึงตำรวจมาเป็นหนึ่งเดียวกับกองทัพอีกด้วย
          เพราะตอนที่ พล.ต.อ.อดุลย์ มาเป็น ผบ.ตร. ก็เริ่มจากเดินสายเข้ากองทัพ เพื่อสานสัมพันธ์ เป็นงานแรกเลย
          จึงมักจะเห็นภาพ พล.อ.ธนะศักดิ์ และ ผบ.สี่เหล่าทัพ ไปออกงานด้วยกันบ่อยๆ แบบพร้อมหน้า โดยเฉพาะ ผบ.ทร., ผบ.ทอ. และ ผบ.ตร. ที่จะไปทุกงาน
          "ผมพูดได้เลยว่า ผบ.เหล่าทัพ มีความใกล้ชิด เป็นพี่น้อง สนิทสนมกันมาก เราเจอกันบ่อย ถ้าไม่เจอ ก็โทรศัพท์คุยกันเกือบทุกวัน แล้วเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน" พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว
          ในฐานะที่เป็น ผบ.สส. พล.อ.ธนะศักดิ์ บอกว่า เขาจะคุมแต่นโยบาย แต่ในทางปฏิบัติ ให้ ผบ.เหล่าทัพไปดำเนินการกันเอง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตนเองไม่ให้สัมภาษณ์สื่อบ่อยๆ เพราะจะไปก้าวก่าย หรือไปชี้นำการทำงานของ ผบ.เหล่าทัพ
          "ถ้า ผบ.เหล่าทัพ ทำงานออกมาดี ก็ถือว่าผมเองก็ได้หน้าไปด้วย แต่หากบางเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญ ที่หากไม่เหมาะ ผมจะต้องเป็นคนพูดหรือ สต๊อป เอง" บิ๊กเจี๊ยบ กล่าว
          พล.อ.ธนะศักดิ์ จึงจะให้สัมภาษณ์ 2 เดือนครั้ง หลังการประชุม ผบ.เหล่าทัพ ที่จะผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพสถานที่ ทั้ง บก.ทัพไทย ทบ., ทร., ทอ. และตำรวจ หรือในโอกาสสำคัญ เช่นวันกองทัพไทย
          รวมทั้งการสวมเครื่องแบบทหาร 3 เหล่าทัพ สลับกันทุกวัน หรือว่าไปงานของเหล่าทัพใด ก็จะแต่งเครื่องแบบของเหล่าทัพนั้น ถือเป็นการให้เกียรติแต่ละเหล่าทัพด้วย เช่นเดียวกับการที่ไปเยี่ยมหน่วยต่างๆ ของแต่ละเหล่าทัพในต่างจังหวัด
          "ผมไปเยี่ยม ไม่ใช่ไปตรวจเยี่ยม ไปเพื่อไปถามว่า มีอะไรให้ผมช่วยเหลือสนับสนุนได้บ้าง และให้กำลังใจในการทำงานกัน" บิ๊กเจี๊ยบ กล่าว
          ด้วยเพราะการเป็น ผบ.สส. ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่ต้องปฏิบัติด้วย รวมทั้งการไปร่วมชมการฝึกความพร้อมรบของทุกเหล่าทัพ ขึ้นเขา ลงห้วย บุกไปเดินในพื้นที่ปัญหาที่เขาพระวิหาร ด้วยตนเองเพื่อให้รู้พื้นที่ ลงเรือทหารเรือ ออกล่องในลำน้ำโขง และรวมถึงการไปชมการฝึกความพร้อมรบทุกครั้ง ในฐานะที่มีเลือดรบพิเศษ ผู้ก่อตั้ง กองพันจู่โฉม ฉก.90 และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.)
          นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ซึ่งเป็น ทบ. ไปเรียนขับเครื่องบิน เป็นเวลา 3 เดือน ก็สามารถบินเดี่ยวเครื่องบินใบพัดได้ โดยใช้เวลาเรียนในช่วงเช้าตรู่ 1-2 ช.ม. ก่อนไปทำงาน จึงไม่เสียเวลาราชการ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ชีวิต และธรรมเนียมของทหารอากาศ จนแอบตั้งใจว่า จะฝึกขับเครื่องบินขับไล่ไอพ่น อย่าง กริพเพ่น เพื่อได้เป็นนักบินที่ 2 เพื่อเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้สมกับการเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในทุกมิติ
          ที่สำคัญที่สุดคือ จะเป็นหลักของกองทัพในการดูแลกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ขอรับผิดชอบเอง
          "ตู่ เขาเป็น ผบ.ทบ. เขาก็ต้องเล่นบทนั้น แต่ผมจะเล่นบทไหน ผมจะไม่ให้ใคร โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้าม อ่านผมได้ออกว่าผมคิดอะไร จะทำอะไร แต่ขอให้มั่นใจในกองทัพไทยก็แล้วกัน" ผบ.สูงสุด ทิ้งท้าย
          โปรดติดตามตอนต่อไป...--จบ--
          --มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 ก.พ. 2556--

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น