วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

สุดจะทุเรศทุรังเต็มที เมื่อ 10 ม.ค.56




ในช่วงระยะนี้...มีข่าวคราวที่อาจนำมาใช้ เป็นตัวสะท้อนถึงประสิทธิภาพ ฝีมือ ความสามารถของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาต่างๆ อยู่หลายต่อ หลายเรื่อง ด้วยกัน ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นการแก้ผิด แก้ถูก แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถนำมาใช้ เป็นตัวชี้วัดอนาคตของรัฐบาล และประเทศชาติได้ไม่ยากว่า สุดท้ายแล้ว...อะไรจะฉิบหายก่อนกัน!!!
                                   --------------------------------------
    อันดับแรก...ไล่มาตั้งแต่ปัญหาผลกระทบ จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ที่ไม่ว่าจะเป็นเพราะความงี่เง่า ไร้ประสิทธิภาพ ไร้คุณภาพ ของบรรดาเจ้าของกิจการ เจ้าของโรงงานเอง หรือเป็นเพราะนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ได้เตรียมรับมือกับข้อเท็จจริง ในทางปฏิบัติให้ถนัดถนี่เอาไว้แต่แรก แต่เมื่อพิจารณาตัวเลขสถิติการปิดกิจการ ปิดโรงงาน นับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งพุ่งทะลุไปถึง 13,181 แห่ง หรือเพิ่มขึ้นไปถึง 118 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันกำลังสะท้อนให้เห็นถึง ความผิดปกติอย่างชัดเจน โดยไม่ว่าจะสืบเนื่องมาจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม แต่ความพังพินาศของธุรกิจ และกิจการต่างๆ ภายในประเทศ ที่พุ่งขึ้นแบบระเบิดเถิดเทิง ในช่วงระยะนี้ ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มประเทศไทยในอนาคตข้างหน้า กำลังไหลไปในทาง ติดลบ หนักขึ้นๆ ทุกที...
                                          ----------------------------------------
    เรียกว่า...แทบไม่ต้องไปพูดถึงขีดความสามารถ การแข่งขันในหมู่ประชาคมอาเซียน ที่กำลังใกล้จะถึงกำหนด ในอีกไม่นานนับจากนี้ ว่าภาคเอกชนและรัฐบาล ควรหันมาร่วมมือ ตระเตรียม รับสถานการณ์เอาไว้อย่างไร แค่เอาเฉพาะ ณ ขณะนี้ ก็พอจะสรุปได้แล้วว่า แนวโน้มที่ธุรกิจ เศรษฐกิจไทย จะไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีนั้น ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ และภายใต้สภาวะที่ตัวเลข ข้อเท็จจริง มันแสดงให้เห็นแบบชัดๆ จะจะเช่นนี้ แทนที่บรรดาผู้มีส่วนรับผิดชอบ ในระดับรัฐบาล ระดับรัฐมนตรี จะแสดงออกถึงความตระหนัก ในหน้าที่ และความรับผิดชอบของตัวเองกันบ้าง บางราย...ดันหันไปเสือกไสไล่ส่ง ให้ใครต่อใคร ย้ายโรงงานไปอยู่ในลาว ในพม่า ในเขมร ให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว กันไปซะอีก...
                                   ----------------------------------------
    อันดับต่อมา...คงหนีไม่พ้นไปจากเรื่องการรับจำนำข้าว ที่นอกจากสถานะการเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของไทย ตลอดช่วงเวลานับไม่รู้กี่ทศวรรษ ต่อกี่ทศวรรษ ต้องร่วงผล็อยๆ ลงมาอยู่ที่อันดับสาม จนเป็นอะไรที่น่าอเนจอนาถเวทนา พอสมควรอยู่แล้ว แต่จะด้วยการ คิดบวก หรือ ไม่คิดอะไรเลย ก็ยากจะสรุปได้ ข่าวคราวว่าด้วยการตระเตรียมเม็ดเงินงบประมาณงวดใหม่ ให้กับการรับจำนำข้าว ที่มันขาดหายไปถึง 7 หมื่นล้าน เป็นอย่างน้อย จนถึงกับทำให้ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. ที่ต้องแบกรับถ่านร้อนๆ อยู่ในมือมาโดยตลอด ต้องวิ่งไปหารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. ขอให้เลิกค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ หันมาเพิ่มการค้ำประกันเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส.อีกซัก 7 หมื่นล้านกันแทนที่ ไม่งั้นมันจะไม่เหลือเงินพอ เอาไว้จำนำข้าวตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งอาจต้องใช้เงินถึง 2.4 แสนล้าน ไม่ใช่แค่ 1.5 แสนล้าน ตามที่รัฐบาลตั้งงบฯ เอาไว้ให้ ยิ่งทำให้น่าหดหู่ น่าสังเวช หนักขึ้นไปอีก...
                            -------------------------------------------
    เหตุที่ ธ.ก.ส.ต้องทำหน้าที่แบกฆ้อง แบกหม้อ ให้รัฐบาลตี จนดีไม่ดีตัวเองอาจถึงขั้นต้องเจ๊งเอาง่ายๆ ก็เนื่องมาจากเงินค่าข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าขายแล้วๆ แบบจีทูจี หรือเจ๊งทูเจ๊งนั้น ไปๆ-มาๆ มันแทบไม่ได้หมุนเวียนหวนคืนมาให้กับ ธ.ก.ส.เอาไว้ต่อไส้ ต่อดอก ได้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะได้งบประมาณก้อนใหม่มา 1.5 แสนล้าน แต่เมื่อคำนวนถึงปริมาณข้าวงวดใหม่ ไม่ว่าข้าวไทย หรือจะต้องรวมข้าวพม่า ข้าวเขมร เข้าไปด้วยหรือไม่ก็ตาม เงินจำนวนนี้มันไม่พอยาไส้อยู่แล้วแน่ๆ แม้ว่ารัฐมนตรีคลังจะออกมานั่งยัน นอนยัน ว่าพอก็เถอะ และถ้าหากมันไม่พอขึ้นมาจริงๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดปัญหากับ ธ.ก.ส.เท่านั้น ยังอาจลุกลามไปถึงชาวนาทั้งหลาย ที่ต่างกะจะรูดปรื๊ด รูดปรื๊ด ให้สนุกมือไปด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับผู้ที่เสพติดยาบ้านั้น ถ้าไม่มียาเม็ดใหม่ให้รับประทาน อาจถึงขั้นบุกจี้ บุกจับตัวประกัน เอาง่ายๆ ส่วนบรรดาชาวนาไทย ผู้เสพติดประชานิยมไปเรียบร้อยแล้ว จะออกอาการเช่นไร อีกไม่นานนับจากนี้คงได้รู้กัน...
                                ------------------------------------------
    ต่อมาข่าวคราวว่าด้วยตัวเลขหนี้สินครัวเรือน...ที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ของแบงก์ชาติ ต้องออกอาการปวดเศียร เวียนเกล้า หนักขึ้นทุกที จะเป็นด้วยนโยบายรถคันแรก บ้านหลังแรก ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไร ที่มุ่งให้ผู้คนใช้แหลก กินแหลก มาโดยตลอด หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แต่ที่แน่ๆ ก็คือตัวเลขหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือนในระยะหลังๆ มันออกอาการพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ อย่างน่าสยดสยองเอามากๆ แค่เฉพาะตัวเลขหนี้สินของข้าราชการ ที่โฆษกรัฐบาลเองเป็นผู้ออกมาแถลงไป ในเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ต่างชี้ชัดให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะพยายามเพิ่มรายได้ เพิ่มค่าจ้าง โบนัส กันแบบไหน อย่างไร แต่ถ้าไม่ได้คิดจะลดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ในการใช้จ่ายลงไปเลยนั้น ตัวเลขมันก็คงต้องออกมาในรูปนี้นั่นแหละ คือแม้ว่ารายได้ข้าราชการจะเพิ่มขึ้นๆ แต่มันเพิ่มไม่ทันกับตัวเลขหนี้สิน ที่กระโดดพรวดเดียวจาก 32,411 บาทต่อคน ในปี 2551 ขึ้นเป็น 41,081 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้น 22.3 เท่า ส่วนหนี้ประชาชนทั่วไป หรือหนี้ครัวเรือนนั้น แทบไม่ต้องพูดถึง แค่ปีเดียวเท่านั้น อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นปัญหาที่ทำให้คณะกรรมการ กนง.ของแบงก์ชาติ นอนไม่หลับอยู่จนทุกวันนี้...
                               ------------------------------------------
    นั่นยังไม่รวมไปถึงปัญหาอธิปไตย ปัญหาความมั่นคง...ที่ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้อง พิทักษ์ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และอธิปไตยของชาติ ดันหันไปกราบไข่ผู้นำของประเทศคู่ขัดแย้งกันถึงที่ ส่วนผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องความมั่นคง ระดับคอขาดบาดตาย อย่างเรื่องปัญหาภาคใต้ จู่ๆ ดันไปเมาไวน์ระหว่างการเดินทางไปเจรจากับเพื่อนบ้านไปซะนี่ ภายใต้สภาพเช่นนี้ รัฐบาลจะเจ๊งก่อน หรือประเทศชาติจะเจ๊งก่อน เอาเป็นว่า...คงต้องลองไปคิดคำนวณกันเอาเอง แต่ที่น่าอเนจอนาถเวทนา ยิ่งกว่านั้น ก็คือว่า กระทั่งทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ว่าชาติ หรือรัฐบาล ต่างใกล้จะฉิบหายอยู่มะรอมมะร่อ วาระเร่งด่วน ของรัฐบาลขณะนี้...กลับกลายไปเป็นการเร่งหาทางแก้ปัญหาให้กับคนคนเดียว หรือการแก้รัฐธรรมนูญไปซะฉิบ...เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะทุเรศ ทุรัง เท่านี้ ย่อมไม่มีอีกแว้วว์ว์ว์...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น