วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

‘พธม.’บี้ปฏิเสธศาลโลก ยิ่งลักษณ์เฉยชุมนุมใหญ่ เมื่อ 9 ม.ค.56




พธม.บี้ปฏิเสธศาลโลก ยิ่งลักษณ์เฉยชุมนุมใหญ่

พันธมิตรฯ บุกทำเนียบ จี้ ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธอำนาจศาลโลก ระบุไม่มีอำนาจตีความคดีพื้นที่รอบนอกปราสาท เผยรอดูท่าทีรัฐบาลก่อนเคลื่อนไหว ลั่นหากยังเพิกเฉย พร้อมนัดชุมนุมใหญ่ ขณะที่เพื่อไทยผวาม็อบจุดติด แนะเร่งแจงประชาชน ด้านแม่ทัพภาค 2 ยันตามแนวชายแดนสถานการณ์ยังปกติ พบทหารกัมพูชาขยับแค่ฝึกซ้อมธรรดา
เมื่อเช้าวันที่ 8 มกราคม บริเวณหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมมวลชนจำนวน 150 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลไทยปฏิเสธอำนาจยุติธรรมระหว่างประเทศและรักษาอำนาจประชาธิปไตยแห่งราชอาณาไทย     
กลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้อง 7 ประการ ประกอบด้วย 1.ในวันที่ 15-19 เมษายน 2556 ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีการพิจารณาคดี กรณีประเทศกัมพูชายื่นคำขอตีความคำพิพากษาเขาพระวิหาร ปี 2505 ซึ่งราชอาณาจักรไทยถือว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้ และจะไม่รับอำนาจศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตีความนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย และประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการประกาศยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกว่า 50 ปี จึงไม่จำเป็นต้องรับอำนาจของศาลโลก
    2.เมื่อประเทศไทยไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมในการตีความแล้ว รัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ต้องถอนทหารหรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย และขอให้เร่งผลกดดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากไทย 3.ให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน
4.อาศัยกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 วรรค 7 และให้รัฐบาลไทยยืนยันว่าสมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงเรื่องภายในอธิปไทยของไทย และให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันตามข้อ 2 (ก) และ 2 (ง) แห่งกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่ารัฐสมาชิกอาเซียนจะต้องปฏิบัติตามหลักการในการเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
5.รัฐบาลไทยจะต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก 6.ให้รัฐบาลไทยหยุดการใช้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท ที่ได้รับการจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อในสื่อของรัฐฝ่ายเดียว เพียงเพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา เพราะนักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนอยู่ข้างกัมพูชา และควรเปิดพื้นที่สื่อให้กว้างขวางเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากผู้ที่ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติและไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลด้วย  
7.ให้ช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทย แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับใส่ร้ายว่าถูกจับในแผ่นดินกัมพูชา โดยเร่งรีบดำเนินการให้ทั้ง 2 คน ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็วที่สุด
นายปานเทพกล่าวว่า พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่รับอำนาจศาลโลก และต้องไม่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ควรหันมาใช้กลไกเจบีซีเท่านั้น เมื่อรัฐบาลรับทราบข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้ว หากยังไม่ปฏิบัติตามแล้วนั้น จะถือว่าสมรู้ร่วมคิดในการกระทำครั้งนี้ด้วย และขอย้ำว่าการยื่นหนังสือเรียกร้องในวันนี้ของพันธมิตรฯ ไม่ได้ทำไปตามอารมณ์ชั่ววูบ แต่ทำตามข้อคิดเห็นของ ดร.สมปอง สุจริตกุล ซึ่งเป็นทนายผู้ประสานงานคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในคดีเขาพระวิหาร 
พันธมิตรฯ จะรอดูการทำหน้าที่ของรัฐบาลจนถึงที่สุดก่อน หากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง พันธมิตรฯ จึงจะกำหนดมาตรการของตัวเองต่อไปในอนาคต หากมีประชาชนเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พันธมิตรฯ ก็พร้อมจะเดินหน้าทำการชุมนุมโดยทันทีในเวลาอันสมควร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการยื่นหนังสือของกลุ่มพันธมติรฯ นายสมภาส นิลพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนผู้มารับหนังสือ
    นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่อยากให้นำเรื่องประเด็นปราสาทเขาพระวิหารมาเป็นประเด็นการเมือง ว่าพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับสิ่งที่นายกฯ พูดทุกประการ แต่จะเป็นจริงได้นายกฯ ก็ต้องไปบอกคนในรัฐบาลให้ความร่วมมือก่อน เพราะคนที่ออกมาจุดกระแสเป็นคนแรกคือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ ที่ออกมาระบุว่าไทยอาจแพ้ในคดีหรือไม่ก็เสมอตัว และพยายามกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของรัฐบาลชุดที่แล้ว ถึงขั้นจะทำหนังสือกล่าวโทษล่วงหน้าว่าหากไทยเสียประโยชน์
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีปัญหาข้อพิพาทปราสาทพระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า ในการประชุมพรรคเพื่อไทย สมาชิกพรรคมีเสียงบ่นกรณีศาลโลกจะตีความกรณีปราสาทพระวิหารว่า อยากให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจประชาชนเรื่องนี้ เพราะเป็นห่วงการปลุกระดมของฝ่ายตรงข้าม ที่เริ่มขยายผลนำประเด็นนี้มาโจมตีรัฐบาล จึงต้องรีบชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจจะได้ลดความขัดแย้ง ไม่อยากให้ฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำไปขยายผลเป็นประเด็นการเมือง จนเกิดปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน    
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พรรคประชาธิปัตย์บิดเบือนอย่างต่อเนื่องว่า ถ้าไม่มีคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แล้วกัมพูชาจะไม่สามารถขึ้นทะเบียนมรดกได้นั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่เป็นความจริง เพราะกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกตั้งแต่ก่อนยุครัฐบาลนายสมัครจะเข้ารับตำแหน่ง 
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากัมพูชาจะขึ้นทะเบียนทั้งตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน รัฐบาลนายสมัครจึงต้องเจรจาเพื่อขอให้ตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนายสมัครเป็นผู้ปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อนเอาไว้ไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกสำเร็จ กัมพูชาจึงขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เฉพาะตัวปราสาท
นายนพดลกล่าวว่า คณะกรรมการมรดกโลกห้ามไม่ให้นำแถลงการณ์ร่วมเข้ามาพิจารณา ตามข้อ 5 ของมติคณะกรรมการมรดกโลก เมื่อวันที่ 7 ก.ค.51 และคดีที่อยู่ในศาลโลกขณะนี้ก็ไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วม เพราะเป็นคดีเกี่ยวกับการตีความคำตัดสินของศาลโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งพวกผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
    พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีมวลชนเตรียมเคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านรัฐบาลต่อการดำเนินการในคดีปราสาทเขาพระวิหารว่า ผู้ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเป็นพวกคนหน้าเดิม ตนคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรือขอร้องในเรื่องใด เพราะทุกคนต่างเป็นผู้ใหญ่โตๆ กันแล้ว ควรจะรู้ว่าอะไรควรทำ หรืออะไรไม่ควรทำ 
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการให้เป็นไปตามกติกาที่ศาลโลกวางไว้ และหน่วยงานด้านความมั่นคงกำลังตั้งทีมงานร่วมกับทางรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ โดยทางนายสุรพงษ์จะนัดหารือถึงการตั้งทีมงานโฆษก เพื่อการประชาสัมพันธ์และชี้แจงข้อมูลให้ถูกต้องต่อประชาชนเพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ด้าน พล.ต.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า กำลังทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธครบมือจำนวน 80 นาย เดินเท้าเข้าประชิดชายแดนไทยบริเวณหลักเขตแดนที่ 17 ใกล้ช่องปลดต่าง ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ว่า จากการตรวจสอบเป็นเพียงการฝึกของเขา และตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เพราะเขาฝึกเสร็จและกลับไปแล้ว ซึ่งการฝึกดังกล่าวอยู่ในพื้นที่กัมพูชา เราไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเรา 
    พล.ต.ประวิทย์ยืนยันว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนไม่มีอะไร เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไปมาหาสู่กันตามปกติ ทั้งนี้ ไทยกับกัมพูชามีข้อตกลงว่า ถ้าเป็นการฝึกที่อยู่ใกล้แนวชายแดนและมีการใช้อาวุธ กระสุนที่มีเสียงจะมีการประสานกัน แต่ถ้าเป็นการฝึกในพื้นที่ที่ห่างจากแนวชายแดนก็ต่างฝ่ายต่างฝึกกันไป ส่วนสาเหตุที่กัมพูชาฝึกกำลังทหารในช่วงที่จะมีการตัดสินของศาลโลกในกลางปีนี้นั้น อาจเป็นวงรอบของเขาที่สอดคล้องกับสถานการณ์พอดี ของเราก็มีการฝึกตามวงรอบอยู่ ในช่วงปลายเดือนมกราคม-มีนาคม ก็เป็นช่วงการฝึกประจำปี. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น