วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

นิรโทษกรรม...เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อ 22 ม.ค.56



นิรโทษกรรม...เมื่อไหร่ก็ได้!


          ผมเป็นคนไม่ชอบ "ฝังใจจำ" อะไร แต่บางอย่าง ทั้งที่ไม่จำ แต่มันก็ไม่ลืม อย่างตอนพวกแกนนำ นปช.สานเจตนาแค้นทักษิณ "ถ้าผมอยู่ไม่เป็นสุข ใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่เป็นสุข" ด้วยการหลอกชาวบ้านให้สวมเสื้อแดง อ้างเรียกร้องประชาธิปไตยออกมาจลาจล "เผาบ้าน-เผาเมือง" ๑ ในหลายแกนนำ ที่จำได้แม่นคือ "นายจตุพร" ได้ตะโกนครั้งแล้ว-ครั้งเล่าบนเวทีว่า...ตายเป็นตาย ติดคุกเป็นติด จะไม่ขออภัยโทษ หรือขอนิรโทษกรรมภายหลังเด็ดขาด!
          แต่พอพรรคแดงทั้งแผ่นดินได้เป็นรัฐบาล นปช.ได้รับปูนบำเหน็จรางวัลเป็นรัฐมนตรีบ้าง เป็นข้าราชการการเมืองบ้าง เป็นอีแอบ-จิ้งจกเกาะผนังทำเนียบฯ-กระทรวงสั่งราชการบ้าง เป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจบ้าง เป็นผู้บริหารหัวคิว-โควตาบ้าง
          แถมยังได้งบประมาณแผ่นดินเป็นน้ำจิ้มขั้นต้น ๒,๐๐๐ ล้านบาท "ตกรางวัล" ในความดี-ความชอบที่ "เผาบ้าน-เผาเมือง" นำไปสู่การพลิกฟื้นอำนาจระบอบทักษิณ จนสามารถกลืนเมืองได้ในที่สุด รับกันไปเบาะๆ สูงสุดคนละ ๗.๗๕ ล้าน ต่ำสุดก็ระดับ (หลาย) แสนบาท!
          และยังเกิดปรากฏการณ์พิสดาร การใช้กฎหมายขั้นตำรวจ-อัยการ โดยเฉพาะจากดีเอสไอ แทนที่โจรก่อการร้ายเผาบ้าน-เผาเมือง จะตกเป็นผู้ต้องหา
          แต่ด้วยอำนาจรัฐบาลแดงทั้งแผ่นดิน กลับพลิกเป็นว่า ฝ่ายรัฐบาลผู้ทำหน้าที่ปราบโจร "ตกเป็นผู้ต้องหา" และฝ่ายโจรเผาบ้าน-เผาเมือง พลิกกลับเป็นผู้เสียหาย เป็นเจ้าทุกข์กล่าวโทษเอากับฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง!?
          สรุปแล้ว ระดับโจกแดงได้รับสมนาคุณไล่เรียงกันไปพุงปลิ้นตามฐานานุรูป เว้นแต่ระดับไพร่ราบ-พลเลว ที่ถูกหลอกไปตาย-ไปติดคุกแทน เมื่อเสร็จศึกแล้ว หลายต่อหลายคนยัง "คาคุก" ในระหว่างคดีบ้าง ถูกตัดสินไปแล้วบ้าง
          บางคนถูกทอดทิ้ง ไม่มีพวกแกนนำคนไหนอินังขังขอบ มันก็เข้าตำรา ตอนหลอกใช้ก็นับญาติกรีดเลือดสาบาน แต่พอถึงฝั่ง กระทั่งหัวก็ไม่เห็น หมาที่จะไปยืนยกขาเยี่ยวให้ไพร่รากหญ้าได้ชื่นใจซักตัว...ก็ไม่มี!
          อย่าว่าแต่ระดับสมุนตัวเอ้เลย ตัวลูกพี่ใหญ่ "เสี่ยดูไบ" นั่นก็เถอะ เมื่อหลอกคนเสื้อแดงไปตาย-ไปติดคุกเพื่อตัวเองเสร็จแล้ว ก็จัดแจง "ถีบหัวเรือส่ง" ทันที จำโฟนอินประโยคนี้ได้มั้ยล่ะ.....
          "พี่น้องทำมาเยอะแล้ว แต่เมื่อทำมาจุดหนึ่ง เหมือนผมจะข้ามฝั่ง พี่น้องแจวเร?อพาผมข้ามฝั่ง มาถึงฝั่งผมต้องเดินต่อขึ้นภูเข? พี่น้องจะแบกเรือขึ้นภูเขาทำไม ถึงเวลาที่ผมจะนั่งรถขึ้นภูเขา แ?ต่ผมไม่เคยลืมคนขับเรือมาส่งผม เหตุการณ์มันเปลี่ยน พัฒนาการมัน?เปลี่ยน หวังว่าพี่น้องจะเข้าใจว่า วั?นนี้เราได้ทำหน้าที่มาสุดทาง แต่ไม่ได้หมายถึงเลิกล้มหน้าที่?..."
          ตอนนั้น มันนึกว่าไม่ต้องพึ่งบริการคนเสื้อแดงอีกแล้วจึง "ถีบหัวส่ง" ด้วยย่ามใจว่า เมื่อมีอำนาจเหนือรัฐอยู่ในมือ กูจะสั่งซ้าย-สั่งขวา "ล้างระบอบ-ระบบประเทศไทย" เมื่อไหร่-อย่างไรก็ได้
          แต่เอาเข้าจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด จะแก้รัฐธรรมนูญ...ก็ติดแหง็ก จะออก พ.ร.บ.นิรโทษ...ส.ส.รัฐบาลของมึงก็จริง แต่รัฐสภามันของคนไทยทั้งประเทศ
          ครั้นจะขอพระราชทานอภัยโทษ มันก็ต้องเข้าตามกรอบ-ตามกฎ-ตามเกณฑ์ ในเมื่อไม่ยอมรับว่าตัวเองมีความผิด ซ้ำไม่ยอมรับโทษทัณฑ์ตามกระบวนการกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
          แล้วจะขอพระราชทานโทษไปทำไมล่ะ ในเมื่อยืนยันว่าตัวเองไม่มีความผิด แถมประกาศ...ไม่มีโทษทัณฑ์ใดๆ ติดตัว!?
          แต่สุดท้าย ไอ้เบื๊อกตัวนั้นก็ต้องลงจากเขามายืนริมตลิ่ง!
          กวักมือเหย็งๆ เรียกขอใช้บริการเรือจากพวกเสื้อแดงอีก พวกเสื้อแดงระดับนิ้วชี้-นิ้วกลาง ซึ่งอยู่ใกล้นิ้วโป้งหัวแม่ตีนข้างซ้าย ก็พอได้เศษน้ำข้าวที่พวกเครือข่ายระบอบทักษิณบนหอคอยงาช้างสาดให้เลีย ก็พากันลากเรือไปรับ
          แต่เสื้อแดงระดับนิ้วนาง-นิ้วก้อย ที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางอำนาจและเงินนี่ซี ตอนนี้ พวกที่อยู่นอกคุกไปหา...ใครวะ กูไม่รู้จัก?
          ที่อยู่ในคุก ฝากวาจาไปขอความช่วยเหลือ มักได้รับคำตอบ...เสือกโง่ให้เขาจับได้ ก็ติดไปก่อนเถอะ!
          นี่แหละ...ความเป็นมาก็อย่างนี้แหละพี่น้องเอ๋ย ตอนนี้พวกเสื้อแดงที่ถูกหลอกไปตาย-ไปติดคุก เริ่มไม่พอใจในความเป็นไพร่ ๒ มาตรฐาน คือพวกหนึ่งก็เสวยสุข เสวยอำนาจ อิ่มหมีพีมัน แต่อีกพวกประเภทรับจ๊อบ-รับหัวคิวมา ไม่มีคนแลเหลียว
          เมื่อสถานการณ์บ้านเมือง มองแล้วเห็นทีจะต้องเอกเซอร์ไซส์ เพื่อข่มขู่-คุกคามให้ได้มาในสิ่งที่เรียกร้อง เช่น รัฐธรรมนูญ อีกทั้งกระแสสังคมเริ่มตีกลับ เพราะจับได้ว่า "ประชานิยม" คือการอ้างประชาชนบังหน้า เพื่อเอางบประมาณออกมาโกงกินกัน
          ขาเก้าอี้รัฐบาลเริ่มสั่น ขายิ่งลักษณ์ออกอาการชี้ตั้งเด่เข้ามาทุกขณะ!
          การใช้บริการเสื้อแดง เป็นความจำเป็นที่พวกแกนนำต้องหันกลับมาประจ๋อ-ประแจ๋ เอาใจไพร่แดงระดับรากหญ้า หวังให้ไปตาย-ไปติดคุกแทน ในศึกครั้งใหม่ที่ต้องใช้ไพร่พลไปขย่มเมืองอีก
          การจุดพลุ "เอาใจ" คนเสื้อแดงระดับหลอกใช้จึงเกิดขึ้น ตั้งซะโก้ว่า "ปฏิญญาโบนันซ่า" วีระกานต์น่ะ ตอนเหมือนหมาจนตรอกล่ะคล้ายเสือสำนึกบาป แต่พอกลับเข้าพวก-เข้าฝูง เจอฝูงคนเสื้อแดง มีไมค์จ่อปากเข้าหน่อย...ไม่เข็ด เจ้าสำบัดสำนวน แต่พอเขาถอดเทปมายันเป็นหลักฐานล่ะก็
          "พ้มไม่ตั้งใจ ปากมันพาไปเองน่ะ...พี่น้อง"!
          จู่ๆ ก็ยื่นเงื่อนไขให้ ครม.หักดิบ ออก "พ.ร.ก.นิรโทษกรรม" คนที่ไม่รู้ โดยเฉพาะพวกเสื้อแดงที่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องอยู่ในคุก นึกว่าพวกแกนนำ นปช.เป็นทุกข์-เป็นร้อนแทน จากที่แค้น-ที่ฉุนในใจพอค่อยคลายไปได้
          มันก็หลอกต้มแดงรากหญ้าอีกตามเคย!
          ทำขึงขังยื่นเงื่อนไขรัฐบาลไปงั้นแหละ แต่ความจริงแล้ว มันทำได้ที่ไหน พวก นปช.มีกุนซือกฎหมายระดับอดีตอธิบดีศาลด้วยซ้ำ จะไม่รู้หรือว่า การออกเป็น พ.ร.ก.นิรโทษกรรมช่วงเวลานี้ มันเข้ากฎเกณฑ์ตามมาตรา ๑๘๔ ซะที่ไหน?
          ก็ "หลอก" เพื่อ "หลอก" ซื้อใจเสื้อแดง ให้มาเป็นมวลชนเครื่องมือ เตรียม "ลุกฮือ" อีกแค่นั้นแหละ!
          รู้ว่าเขาหลอก ก็อย่าให้เขาหลอกไปตายแทน-ติดคุกแทนอีกเลย ผมจะบอกให้ ความจริงแล้ว ระดับชาวบ้านที่เขาจ้างมา-ชวนมาให้สวมเสื้อแดง ให้ท่องไปตะโกนอยู่ ๔-๕ ประโยค คอยเฮ-คอยฮือตามพวกที่จะลากไป ครั้นเขาจับ ก็หนีไม่ทันบ้าง ไม่รู้หนีไปทางไหนบ้าง ไม่ชำนิ-ชำนาญอย่างพวกหัวโจกเขา พูดง่ายๆ คือ ไม่รู้เรื่อง-รู้ราวอะไรกับเขา
          เขาจ้างมา เขาชวนมา...ก็มา นั้น เมื่อบ้านเมืองสงบ ยังไงๆ คนส่วนนี้ ก็ต้องมี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้แน่นอนอยู่แล้ว ใจเย็นๆ ขืนดิ้นรนมากไป นอกจากไม่ได้ออกแล้ว ยังตกเป็นเหยื่อให้เขาเอาไปหากินทางการเมืองอีก!
          เชื่อผมเถอะ ล้านเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ต้องหาการเมืองโดยบริสุทธิ์ เมื่อทุกอย่างเข้าที่ ไม่ต้องร้องขอ รัฐบาล-รัฐสภาวันนั้น-ขณะนั้น เขาต้องออก พ.ร.บ.ให้แน่ แต่ที่ยังออกให้ไม่ได้เวลานี้
          ก็เพราะพี่ๆ นปช.ภายใต้การชักใยของนายเหลี่ยมเขานั่นแหละ "ได้คืบจะเอาศอก" เหิมเกริมในอำนาจเถื่อน ไม่พอใจอะไรก็ข่มขู่ ยกพวกไปปิดล้อมที่นั่น-ที่นี่
          ซ้ำอำนาจบริหารก็ไปบีบอำนาจรัฐให้ใช้กฎหมายไปล้างแค้นแทนแก้ไข ทำให้เห็นว่าบ้านเมืองยังไม่ปกติ ยังไม่ละวาง ยังไม่สำนึก เหิมเกริมถึงขั้นจะ "ฉีกรัฐธรรมนูญ" เขียนเป็นอำนาจใหม่ใช้ปกครองบ้านเมือง!
          แล้วอย่างนี้ จะนิรโทษได้อย่างไร ซึ่งทางที่ควร ก่อนไปสู่ขั้นตอนนิรโทษกรรม พวกตัวเองก็เป็นรัฐบาลแท้ๆ แทนที่จะใช้อำนาจ-ใช้กฎหมายไปในทางแก้แค้น ก็ควรตั้งสติ หันมาใช้ในทางแก้ไข
          ตั้งคณะทำงานซักคณะ รวบรวมคดีทั้งหมด จะเอาตั้งแต่ปี ๔๙ ถึงปี ๕๓ หรือปีไหนก็ว่าไป มีทั้งหมดเท่าไหร่ ก็แยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน ไหนเข้าข่ายการเมือง ไหนเข้าข่ายความมั่นคง ไหนเข้าข่ายก่อการร้าย ไหนเข้าข่ายคำสั่งปฏิวัติ ไหนเข้าข่าย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไหนเข้าข่ายกฎหมายอาญา ไหนเข้าข่ายไม่รู้เรื่อง-ไม่เจตนา ถูกหลอกมาก็ตามแห่เขาไป และไหนพวกไทยมุง
          เนี่ย...แยกแยะเป็นหมวดๆ ให้ชัดเจน และดูว่าเรื่องไหน-คดีไหน อยู่ในชั้นไหนแล้ว ดูบรรยากาศ สถานการณ์บ้านเมืองและผู้คนแต่ละฝ่ายว่า ละ-เลิก-อภัย-เข้าใจ กันได้แค่ไหนแล้ว ก็ควรหาทางจัดวง-จัดเวทีพูดจา มีสันทนาการร่วมกัน เรียกว่า "ทำสังคมให้ตกผลึก" เสียก่อน
          จากนั้น ก็เข้าสู่ขั้นตอนตามกฎหมาย คดีไหนต้องว่าไปตามกฎหมาย ก็ต้องปล่อยให้ว่ากันไป คดีไหนเข้าข่ายนิรโทษกรรมได้เลย ก็คัดแยกไปรอการนิรโทษ ใครก็ไม่ต้องมาดัดจริตพูด...ยกเว้นพวกผม ยกเว้นแกนนำไม่ต้องนิรโทษ!  แบบนั้นพูดแบบควายๆ พูดแบบหลอกคนป่า-คนดง กฎหมายมีมาตรฐานอยู่แล้วจะนิรโทษ-ไม่นิรโทษใครในกรอบความผิดไหน ไม่ใช่มาทำเป็นพระเอก...ยกเว้นพวกผม ยกเว้นแกนนำ ก็เห็นร่ำเรียนจบกฎหมาย จบมหาวิทยาลัยกันมาทั้งนั้น
          แล้วแยกแยะเพื่อตอบกับตัวเองไม่ได้เชียวหรือว่า การนำคนเผาบ้าน-เผาเมือง การจ้วงจาบหยาบช้าสถาบัน การพยายามเปลี่ยนระบอบ-ล้มสถาบัน การบุกสถานที่ราชการ ข่มขู่ชีวิตผู้คน การวินาศกรรมสถานที่ต่างๆ เหล่านั้น มันเป็นคดีการเมือง หรือคดีอาญา ว่าด้วยความมั่นคงและการก่อการร้าย?
          สรุปก็คือ นิรโทษกรรมน่ะ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่ใช่พวกหัวโจก.
          ที่มา: http://www.thaipost.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น