วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันนี้เรารู้จักประเทศไทยของเราขนาดไหน หรือไม่รู้อะไรเลย เมื่อ 17 ธ.ค.55


วันจันทร์ ที่ 17 ธันวาคม 2555

พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์

ผมทำงานข่าวกรองด้วยวิธีการ ๓ อย่าง คือ (๑) นำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้, (๒) ผมไม่ใช่เจ้านายที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ผมเป็นผู้อำนวยการกองผมก็ยังทำงานภาคสนามควบคู่ไปด้วย (กองที่หน่วยงานผมไม่ใช่กองแบบหน่วยงานอื่นๆ เพราะแต่ละกองมี จนท.ประมาณ ๒๐๐-๑,๐๐๐ คน อาจจะใหญ่กว่าหน่วยงานบางหน่วยเสียอีก) และ (๓) การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลทุกอาชีพ งานที่รัฐบาลส่งผ่านมาถึงผมจึงสำเร็จเกือบ ๑๐๐% ทุกชิ้นงาน (เฉพาะในช่วงที่ผมยังรับราชการอยู่) ดังนั้นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยทางด้านความมั่นคงส่วนใหญ่เมื่อครบเวลาจะเดินทางกลับประเทศแล้ว จะนิยมส่งทอดคนที่เข้ามารับงานใหม่ให้มารู้จัก “ผม” ไว้พูดคุยด้วยเกือบทุกชาติ
        ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติเพราะรัฐบาลไทยและผู้นำองค์กรต่างๆ ที่ทำงานด้านความมั่นคงไม่เคยสนใจที่จะนำงานข่าวกรองมาใช้ประโยชน์เพื่อชาติ ถ้าจะนำมาใช้ประโยชน์ก็เพื่อขุดคุ้ยฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น การแต่งตั้งโยกย้ายคนในหน่วยงานข่าวกรองจึงเป็นไปตามที่การเมืองสั่งมาและตามอารมณ์ของผู้มีอำนาจมากกว่าการดูที่ความสามารถของบุคลากรในหน่วยงาน งานข่าวกรองจึงล้มเหลว
        ตลอด ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้ไปร่วมงานปีใหม่ของชาวต่างชาติในไทยมา ๕-๖ งาน มีคำถามมากมายหลายสิบคำถาม รวมทั้งข้อคิดเห็นจากมุมมองของชาวต่างชาติเหล่านั้น จึงขอนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังครับ
        เรื่องแรก ปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นมากกว่าท้องถนน จนทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับการจราจร จากนโยบาย “รถคันแรก” ของรัฐบาล ซึ่งเป็นนโยบายที่หาเงินให้ชาวต่างชาติใช้โดยตรง ในขณะที่ประเทศไทยต้องรับภาระแสนสาหัสจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมของผู้ใช้รถใหม่เหล่านี้ เช่น ค่าเชื่อเพลิง, ค่าครองชีพที่สูงขึ้นกว่าเดิมจากการขับรถ ฯลฯ ชาวต่างชาติเห็นว่าเป็นนโยบายที่ทำลายทั้งประเทศไทยและสิ่งแวดล้อม เป็นนโยบายของประเทศที่ล้าหลัง
        เรื่องที่ ๒ ค่าแรง ๓๐๐ บาทซึ่งส่งผลกระทบมากมายทั้งเงินเฟ้อ, สินค้าราคา แพง, ค่ายานพาหนะ, ไฟฟ้า, แก็สที่เพิ่มขึ้น, สวัสดิการของคนงานที่หายไป ฯลฯ การเคลื่อนย้ายแรงงานและโรงงานไปลงทุนนอกประเทศทำให้อัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้น ผมก็ยอมรับว่า “จริง” นโยบายนี้จะดีถ้าค่อยๆ ทำไป ไม่เร่งรัดขนาดนี้
        เรื่องที่ ๓ นโยบายจำนำข้าวที่ไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดว่าส่งผลเสียต่อประเทศชาติขนาดไหน ผมก็เห็นด้วย ได้แต่เสริมไปว่า “ ผลดีคงมีประการเดียวคือการเกิดไซโลเก็บข้าวของหัวคะแนนพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่แทบทุกจังหวัด ให้ไปตามดูได้” ชาวต่างชาติเสริมว่า “นโยบายนี้อาจทำให้ประเทศไทยต้องล้าหลังกว่ากลุ่มประเทศอาเซียนไป ๕ ปีได้ ถ้ายังทำต่อไป” ก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากไปกว่านี้อีก
        เรื่องที่ ๔ การแก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายๆ ประเทศงงว่าทำไมถึงยืดเยื้อมาได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ชาวไทยอิสลามในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้การสนับสนุนอะไรกับกลุ่มโจรเพียงแค่วางตัวเป็นกลาง ซึ่งถือว่ามากเพียงพอแล้วที่รัฐจะเข้าไปจัดการอะไรก็ได้ต่อกลุ่มโจรเหล่านั้นได้อย่างสบายๆ ภาวะแบบนี้มีสภาพที่ดีกว่าประเทศอื่นมากมายนักที่เกือบทุกประเทศ “โจรกับชาวบ้านจะร่วมมือกัน” อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกที่ชาวต่างชาติเหล่านั้นสามารถอธิบายให้ผมฟังอย่างละเอียด สรุปได้ว่าเรื่องนี้เติบโตมาได้เพราะแผลเก่าที่ผู้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลเคยทำไว้ แต่ไม่ยอมเข้าไปแก้ไขแถมยังสนับสนุนให้บุคคลในเครือข่ายของรัฐบาลที่เคยสร้างแผลไว้กลับมาได้ดิบได้ดีในวงราชการอีกด้วย ส่วนที่เหลือก็เป็นมิจฉาทิฐิของข้าราชการไทยบางคนที่ดื้อรั้นเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว การที่ชาวต่างชาติเหล่านั้นรู้มากขนาดนี้ ก็เพราะเรื่องภาคใต้นี้มหาอำนาจตะวันตกและประเทศเพื่อนบ้านเรามีวอร์รูมติดตามใกล้ชิดกว่าของเราอีกครับ พวกเขากลัวว่าจะเป็นตัวอย่างระบาดไปถึงประเทศของเขา รวมถึงการส่งออกผู้ก่อการร้ายสากลจากประเทศไทยด้วย ซึ่งในอดีตมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว
        เรื่องที่ ๕ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ทั้ง ๒ เรื่องนี้ชาวต่างชาติเชื่อว่าคณะรัฐมนตรีของไทยทุกคน รวมถึงนายกฯ ด้วย ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เพื่อความสุขของคุณทักษิณฯ จึงต้องทำ (ถอดความมาจากภาษาอังกฤษเลยครับ) ผมบอกว่าพวกเขาพูดเหมือนสื่อมวลชนไทยเลย แต่พวกเขาคัดค้านว่าสื่อมวลชนทั่วโลกก็พูดแบบนี้
        เรื่องที่ ๖ คือเรื่อง DSI กล่าวหาคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ว่าร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ซึ่งชาวต่างชาติเหล่านี้เห็นว่าเป็นเรื่องน่าขบขันมาก  เพราะใครๆ ก็รู้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ คนไม่ได้ผิดอะไรแน่นอน ด้วยเหตุผลต่างๆ เมื่อนับรวมกันแล้วมากกว่า ๑๐ ข้อ ซึ่งเขียนไปเดี๋ยวจะหาว่าผมยกเมฆมาเขียนเอง ผมก็ได้แต่บอกพวกเขาว่า เรื่องที่ DSI ทำต่อคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ครั้งนี้ จะส่งผลทำให้ทั้ง ๒ คนเป็นผู้เสียหายโดยตรงที่สามารถใช้สิทธิ์ได้ทั้งทางกฎหมายและการชี้แจงแก้ตัวต่อประชาชนได้ทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สนุกแน่สำหรับอธิบดีDSI และแกนนำกลุ่ม นปช. รวมถึงรัฐบาลเองด้วย นอกจากนั้นยังมีผลตามมาอีก ๒ อย่าง คือ ทำให้คุณอภิสิทธิ์ฯ รู้มากขึ้นว่า “การเมืองมันต้องสกปรกเข้าไว้ก่อน” และยังส่งผลทำให้คุณสุขุมพันธ์ฯ มีโอกาสกลับมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ได้อีกครั้งหนึ่งค่อนข้างแน่นอนจากเรื่องนี้ ผมพูดจบลงท่ามกลางเสียงหัวเราะกันอย่างครึกครื้นครับ
        เมื่อฟังชาวต่างชาติเหล่านั้นพูดและคิดต่อปัญหาของประเทศไทยแล้ว ผมก็รู้สึกว่ารัฐบาลไทยกำลังปกครองประเทศแบบโฆษณาชวนเชื่อ ใช้อำนาจรัฐปกปิดความจริงครอบงำทางสื่อจนทำให้คนไทยส่วนหนึ่งคิดไม่เป็น อีกส่วนหนึ่งคิดเป็นแต่พูดไม่ออก ใครที่ยังพูดได้ เขียนได้ก็ออกมาพูด มาเขียนเถอะครับเพื่อบ้านเมืองของเรา ก่อนที่จะกลายเป็นบ้านเมืองของคนอื่นไป วันนี้เรารู้จักประเทศไทยของเราดีขนาดไหน ลองคิด ลองทบทวนกันดูครับ
_________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น