วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ขบวนการ 'กินข้าว' ผลาญชาติ




นั่งแอร์ ฟอร์ซ วัน หรือ "ยกลำการบินไทย" ไปล่ะเนี่ย...ก็คนสวยของผมนั่นแหละ ได้ข่าวว่า ๑๕-๑๗ ต.ค.นี้ ไปสุดยอดอะไรซักอย่างที่คูเวตอีกแล้ว นัดพี่ชายตัวดีไว้ที่นั่นหรือเปล่าล่ะ แต่ว่า...ไปเหอะ ขืนอยู่ก็ถูก "ผู้มีบารมีนอกรัฐบาล" เค้นคอรายวันเปล่าๆ แผนจำนำข้าวทุกเม็ดน่ะ ยังพอแก้ไข แต่แผน "เอาข้าวแลกรถไฟ" นี่ซี...ชีไม่สนคอมมิชชั่น แต่กระสัน "คอรัปชั่น" เต็มๆ แล้วแบบนี้จะตกลงกันยังไง ศึกสายเลือดน่ะ...เกิดได้ (ก็ดี) แต่ห้ามเลอะแผ่นดินไทยนะ...มันจะเป็นเสนียด!
    เอาหละ...ก็สะกิดเตือนไว้แค่นี้ก่อน แล้วค่อยขยายความกันวันหลัง พูดถึง "กระทรวงพาณิชย์" ก็กระทรวงหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของนายกฯ แต่ยุคระบอบทักษิณเพื่อ "แดงทั้งแผ่นดิน" นี้ คล้ายเขา "จัดสรรประเทศ" ให้ก๊วนนั้น-แก๊งนี้ เอาไปบริหารหาผลประโยชน์ของใคร-ของมันกันเอาตามชอบ 
    พวกรัฐมนตรี ก็คือพวกที่มาด้วยอำนาจการเมือง ก็เข้าใจได้ว่า การบริหารต้องเป็นไปตามที่กระบวนการ "แดงทั้งแผ่นดิน" ต้องการ แต่ที่สมเพชอเนจอนาถก็คือ พวก "ข้าราชการประจำ" พูดกันโดยเนื้อแท้แห่งจิตสำนึก ข้า-ราชะ-การ ต้องทำงานคัดท้ายสนองคุณ "ชาติ-ประชาชน" เป็นหลัก
    แต่วันนี้ หลายต่อหลายส่วนใช้ระบบราชการไปทำงาน "สนองคุณโจรปล้นแผ่นดิน" ด้วยเห็นแต่ลาภ-ยศ-ตำแหน่ง จะพูดว่ายอมขายประเทศเพื่อตัวเองรอดก็ไม่น่าผิดเท่าไหร่ ก็ไม่อยากเจาะจงใคร เพราะแต่ละคนก็ล้วนตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ กันทั้งนั้น
    กระทรวงพาณิชย์อยู่ใต้การบริหารของนายกฯ ก็จริง แต่โควตาดูเหมือนเป็นของ "ผู้มีบารมีนอกรัฐบาล" ส่วนนางไหน-นายไหน ก็ลองหัดสังเกต-สังกากันบ้าง ผมมีเรื่องที่จะคุยตกค้างมาแต่ศุกร์ก่อน ฉะนั้น วันนี้ก็เอาซะให้จบถ้อยกระทงความ ภายใต้เรื่องข้าวจีทูจีนั่นแหละ
    คงจำประเด็นที่ค้างได้กระมัง คือผมคาใจคำให้สัมภาษณ์ของ "นางปราณี ศิริพันธ์" อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เพราะเธอพูดเป็นนัยถึงวิธีขายข้าวจีทูจีว่า "เป็นการขายหน้าคลัง" คนทั่วไปฟังก็ไม่รู้ แต่คนที่รู้จะสะดุดต่อม "ไม่สุจริต" ทันที เธอพูดว่า
    "รูปแบบการขายหรือวิธีการเป็นการขายหน้าคลัง โดยประเทศผู้ซื้อจะเป็นผู้กำหนดว่าจะให้บริษัทใดมารับ เพื่อนำไปปรับปรุงและส่งมอบให้ตน พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาการรับมอบ แต่ทางกรมฯ ไม่มีการระบุในสัญญาว่าจะต้องส่งออกไปต่างประเทศหรือไม่ ภายในเมื่อไหร่ เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศผู้ซื้อและผู้ปรับปรุงข้าว และมีผู้ตรวจสอบเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์เวย์เป็นผู้ตรวจสอบ ทางเราได้เงินมาก็แสดงว่าขายได้แล้ว ส่วนราคาก็มีการคุยกันไว้แล้ว โดยมีการกำหนด optimum prices คำนวณมาจากเกณฑ์ต่างๆ หลายเกณฑ์ ซึ่งเป็นราคาที่ทั้งสองฝ่ายแฮปปี้ก็ขาย แต่บอกไม่ได้......"
    "ขายหน้าคลัง" คือ ผู้ซื้อต้องจัดการเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขนข้าวทุกเม็ดจากโกดังเองจนไปลงเรือสินค้า มีแต่ผู้ซื้อสติวิปลาสเท่านั้นที่จะยอมใช้วิธี "ซื้อขายหน้าคลัง" แต่ถ้าไม่วิปลาส นั่นก็น่าสงสัยว่า กำลังสมคบ "แบ่งกันรวย" เอาข้าวที่ขายหน้าคลังถูกๆ ไปเวียนกลับมาขายอีกรอบหรือเปล่า?!
    การ "ขายหน้าคลัง" วิธีการเป็นอย่างนี้ครับ ผู้ขายคือไทย มีหน้าที่เพียงปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ตรงตามที่ตกลงกันแล้วส่งมอบที่หน้าโกดัง แต่ถ้าตกลงส่งมอบกัน "ตามสภาพข้าว" ที่อยู่ในโกดัง ผู้ซื้อต้องปรับปรุงคุณภาพเอง หากระสอบบรรจุ หารถหรือเรือโป๊ะไปรับมอบข้าวที่หน้าโกดังเอง ลำเลียงไปขนถ่ายลงเรือสินค้าที่จัดหาเอง จัดหากรรมกรขนข้าวจากรถหรือเรือโป๊ะลงเรือสินค้าเอง 
    ถ้าต้องรมยาฆ่าแมลงช่วงที่ข้าวอยู่ในเรือโป๊ะ ก็ต้องจัดหาบริษัทที่รับจ้างรมยาฆ่าแมลงมาจัดการเอง ต้องขอใบอนุญาตส่งออกเอง ใบอนุญาตนี้ก็ต้องเป็นใบอนุญาตผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการค้าต่างประเทศด้วย และต้องดำเนินการเกี่ยวกับพิธีศุลกากรที่เกี่ยวกับการส่งออกเองทั้งหมด
    เนี่ย...การขายข้าวหน้าคลังที่นางปราณีพูดมันเป็นแบบนี้ แล้วคิดซิ จะมีผู้ซื้อบ้องตื้นรายไหน เสียเงินซื้อแล้วยังจะต้องมาเหนื่อยยากอย่างนั้นอีก ก็มีประเด็นน่าคิดตรงที่นางปราณีพูดไว้แปร่งๆ นั่นแหละ ที่ว่า....ไม่มีการระบุในสัญญาว่าจะต้องส่งไปนอกประเทศหรือไม่ เพราะเป็นการตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ปรับปรุงข้าว และพวกเซอร์เวเยอร์!
    เอางี้...ผมไม่อยากจี้จุดซ่อนเร้นเป็นบางที่ เพื่อให้เห็นภาพกว้างทั้งขบวนการ จะเป็นการโกงโดยสุจริตหรือทุจริตก็ไม่รู้แหละ เท่าที่ผมอยู่กับข่าว "โกงข้าว" มา ๒๐-๓๐ ปี วงจรเชื้อชั่วมันจะทำงานหมุนวนจนเกิดข่าวคราวตามขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้
    ๑.ตอนพิจารณารับโรงสีเข้าร่วมโครงการ จากองค์การคลังสินค้าบ้าง จากจังหวัดบ้าง จากกรมการค้าภายในบ้าง แต่ไม่มากนัก
        ๒.ตอนพิจารณากำหนดให้บริษัทเซอร์เวย์เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวที่รับจำนำ ตรงนี้เทาตลอด  มีการล็อกให้บริษัทในเครือของผู้มีอำนาจ หรือบริษัทที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทน ส่วนจะตอบแทนใครนั้น องค์การคลังสินค้า...อย่าทำไก๋!
    ทีนี้มาถึงขั้นตอน "โกงข้าวที่รับจำนำ" เท่าที่รวบรวมจะปรากฏในรูปแบบอย่างนี้
    ๑.ก่อนที่เริ่มรับจำนำ โรงสีซื้อข้าวจากชาวนาในราคาตลาดขณะนั้นไว้หมดแล้ว ข้าวขาวก็ราวๆ ๙,๐๐๐-๑๑,๐๐๐ บาท หอมมะลิประมาณ ๑๕,๐๐๐-๑๖,๐๐๐ ซื้อแล้วให้ชาวนาเซ็นเอกสารว่า "ฝากเก็บข้าวไว้กับโรงสี" พร้อมเอกสารที่ต้องใช้ในการจำนำ 
    เมื่อเริ่มโครงการ โรงสีก็จะใช้ข้าวที่ซื้อไว้นี่แหละบอกว่า "เป็นข้าวที่ชาวนานำมาจำนำ" แล้วก็ทำเอกสารไปเบิกเงินจาก ธ.ก.ส.เต็มอัตรา ยุค ด.เด็ก "ผู้มีบารมีนอกรัฐบาล" ก็ฟาดเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ ข้าวหอมมะลิก็ ๒๐,๐๐๐ กว่า รับส่วนเกินไปซื้อเครื่องเซ่นไหว้ศาล "เจ้าแม่ซาลาเปา" กันเพลิน
    ๒.นำข้าวที่เวียนในตลาดหรือข้าวเขมรสวมสิทธิ์ โดยใช้โควตาชาวนาที่ใช้ไม่หมด โควตา คือจำนวนไร่ที่ชาวนาปลูกข้าวและสามารถนำข้าวมาเข้าโครงการรับจำนำได้ ส่วนคนละกี่ไร่ก็อยู่ที่รัฐบาลกำหนด ก็เอาข้าวเวียน หรือข้าวเขมรนั่นแหละสวมสิทธิ์จำนำ กินส่วนต่างเพลินไปอีก
    ๓.อ้างว่าข้าวชาวนามีความชื้นสูงแล้วหักราคา แต่เวลาทำเรื่องจำนำจะแสดงความชื้นไว้น้อยกว่าที่อ้างต่อชาวนา หรือมั่วเลยว่าความชื้นไม่เกิน เพลินตามประสาโกงๆ ไปอีก
    ๔.ประเด็นนี้สำคัญ ทำลายเครดิตประเทศด้วยการ "โกงคุณภาพข้าว" กันเลยทีเดียว คือโรงสีที่ซื้อข้าวจากชาวนาไว้แล้ว บางรายเอาข้าวหอมปทุมธานีหรือข้าวชัยนาท ๑ มาผสมกับข้าวหอมมะลิ แล้วทำเรื่องเบิกในราคาจำนำ ๒๐,๐๐๐ บาท      
    ตรงนี้ ผมอยากให้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่รัฐมนตรีพาณิชย์ ปลัดพาณิชย์ และอธิบดีทั้งหลาย ช่วยทำหน้าที่ "คณะกรรมการกลาง" ให้ซักหน่อย ไปตรวจข้าวหอมมะลิที่อยู่ในโกดังตอนนี้ทั้งหมด ผมว่าจะเจอ "ข้าวปลอมปน" กว่าร้อยละ ๘๐-๙๐!
    คงมีคนอยากถามว่า ที่เป็นเช่นนั้นได้ ก็ใครล่ะ...มีส่วน?
    ไม่รู้นะ แต่ข้าวจะเข้าไปอยู่ในโกดังได้ จะต้องผ่านตามขั้นตอนของคนเหล่านี้ คือตอนรับข้าวเข้าโกดัง ก็จะผ่านเจ้าหน้าที่โกดัง อคส. ผ่านเซอร์เวเยอร์ผู้ตรวจคุณภาพข้าว ผ่านเจ้าหน้าที่ที่สังเกตการณ์ เช่น ดีเอสไอ และตอนนี้ส่งตำรวจไปเฝ้าอีกหนึ่งเอี่ยว
    ซักตันละ ๒๐๐ สมมุติว่า "โยนให้หมาแบ่งกันกิน" ได้บุญอื้อเลย!
        ๕.ขั้นตอนสั่งให้สี "แปรข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร" ถึงนิดๆ หน่อยๆ จากอัตราสีจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร ต้นข้าว-ปลายข้าว-รำ-แกลบ มันก็ยังมีระบบ "โกงโดยทุจริต" สอดแทรกอยู่บ้าง เรียกว่าทุกขั้นตอน...นิดหน่อย พวกกูก็ไม่ปล่อยให้ความสุจริตลอยนวล! 
        ๖.ขโมยข้าวที่รับฝากเก็บตามโครงการ "รับจำนำ" ที่เป็น "ข้าวฤดูใหม่" ไปขายก่อน หากเป็นโรงสีที่เป็นผู้ส่งออกด้วยก็นำไปส่งออก แล้วหาซื้อข้าวใหม่มาใช้ในภายหลัง อาจเป็นข้าวที่ "เวียนตลาด" จากการระบายขายภายในก็ได้ แบบ "ขายหน้าคลัง" นั่นแหละ...ดีนัก
    ความจริง สมัยก่อนเขาจะป้องกันโดยกำหนดเป็นเงื่อนไขไว้เลยว่า ข้าวที่ซื้อจากโครงการต้องส่งออกเท่านั้น แต่ตอนนี้ให้เอาขายภายในได้ ตรงนี้แหละมีส่วนให้ "การวนจำนำ" เกิดขึ้นได้
    ๗.ทีนี้มาถึง "ขั้นตอนระบายข้าว" ตรงขั้นตอนนี้แหละที่ "โกงกันเป็นอาชีพ" และพวกที่อยู่ในขั้นตอนนี้มากที่สุด คือพวก "นักการเมือง"!
    เริ่มตั้งแต่การขายที่ไม่โปร่งใส งุบงิบขายให้พรรคพวก แอบขายให้บริษัทของผู้มีอำนาจ เช่น เมื่อไม่นานนี้ บริษัทหนึ่งดังหึ่งอยู่ในตลาดข่าว ได้ข้าวที่รับจำนำไปส่งออกโดยไม่ปรากฏว่าได้ยื่นประมูล  ราคาขายก็ไม่เปิดเผย กำหนดให้ผู้ประมูลซื้อข้าวที่ชนะการประมูล ได้รับชดเชยค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวในอัตราสูงมาก 
    บอกให้แค้นใจคนไทยกันเล่นก็ได้ ที่ผ่านมามีนักการเมือง "ทิ้งทวน" ในวันสุดท้ายของตำแหน่ง รับโบนัสโจรเป็นส่วนต่างค่า "ปรับปรุงคุณภาพข้าว" อย่างที่เรียกว่า ฮาล์ฟ-ฮาล์ฟ!
        พวกเจ้าหน้าที่โกดัง อคส.ล่ะ...พวกนี้จะได้รับค่าตอบแทนจากการชี้ช่องให้ผู้ประมูลเลือกข้าวจากโกดังที่มีคุณภาพดีกว่าโกดังอื่น หรือยอมให้ผู้ประมูลขน "ข้าวฤดูใหม่กว่า" ที่ประมูลได้ เช่นประมูลข้าวปี ๕๓/๕๔ แต่ยอมให้ขนข้าวที่รับจำนำล่าสุดไปแทน เพราะข้าวที่รับจำนำล่าสุดจะอยู่ข้างนอก ส่วนข้าวที่จำนำนานแล้วทับถมเสื่อมคุณภาพอยู่ข้างใน ขนออกก็ยาก
          ส่วนการทำสัญญาขายข้าวให้ต่างประเทศ อาจเป็นจีทูจี หรืออาจขายให้เอกชนของประเทศผู้นำเข้าก็ได้ ทั้งรัฐมนตรี ทั้งปลัดฯ อธิบดี อ้างเป็นความลับลูกค้าไม่ต้องการเปิดเผย อยากหัวเราะให้ต่อมลูกหมากขยายตัวจริงๆ พับผ่า!
    นั่นมันคือพฤติกรรมส่อไปในทาง อาจมีการงุบงิบมอบให้ "บริษัทผู้มีอำนาจ" เป็นผู้ปรับปรุงคุณภาพข้าวในโกดังของรัฐและส่งออกให้ผู้ซื้อแต่เพียงผู้เดียว ราคาที่ขายก็อาจขายถูกๆ จึงไม่กล้าเปิดเผย เช่นข้าวที่ขายให้อินโดฯ เมื่อปลายปี ๓ แสนตัน ก็งุบงิบให้บริษัทฉาวโฉ่นั้นเป็นผู้ส่งออก รวมทั้งที่ขายให้อิรัก ๒ แสนตันด้วย
    เอาละ...แค่นี้พอ ก็อยากเตือนสติบรรดาข้าราชการ โดยเฉพาะพวกบิ๊กกระทรวงพาณิชย์ อย่าเอาตำแหน่งราชการไปทำหน้าที่สนอง "ศาลเจ้าแม่ซาลาเปา" โดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติบ้านเมืองให้มากนัก โตจนเลียตูดหมาไม่ถึงกันแล้ว อย่าต้องให้ประจานกันมากไปกว่านี้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น