วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ล้ม" มันก่อนที่มันจะ "ล้ม" ประเทศ! เมื่อ 9 ต.ค.55



ไทยเสีย "แชมป์ส่งออกข้าว" ผมก็ว่างั้นๆ ไม่เห็นต้องทุกข์ร้อนอะไร  แต่การที่ข้าวหอมเขมรได้รับการโหวตให้เป็น "ข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลก" จากการนำข้าวแต่ละประเทศมาหุงแล้วให้นักชิมตัดสินที่บาหลี เมื่อปลายเดือนกันยาที่ผ่านมานี่ซี ผมว่าน่าจะเป็นข่าว "จิกกะโหลกสำนึก" ตั้งแต่รัฐบาล-ข้าราชการ-นักวิชาการเกษตร ตลอดถึงนักธุรกิจข้าวทุกยุค เอาแต่ "หากินกับข้าว" แต่ไม่มีจิตสำนึกในการรักษาคุณภาพ ไม่สนใจพัฒนาและวิจัยพันธุ์ ยิ่งรัฐบาลวันนี้ มุ่งผลิตเอาแต่ปริมาณสนองตอบคอรัปชั่น  ทำข้าวให้กลายเป็น "สินค้าประชานิยม" เท่ากับจงใจบริหารให้ล่มจมโดยแท้!
    ถ้าจำไม่ผิด อดีตนายกฯ "พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" เป็นเจ้าของคำพูดประโยคว่า "ทุกข์ชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน" ตกมาถึงวันนี้ ยุคที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ใช้เงินภาษี "ล้มระบบค้าข้าว" แล้วเข้าไปรับซื้อทุกเมล็ดเกวียนละ  ๑๕,๐๐๐ บาท
    ดูเผินๆ เหมือนแก้ทุกข์ให้ชาวนา แต่ถ้าดูแบบพิศ จะเห็นทันทีว่า นี่คือการ "หากินกับทุกข์" ของชาวนา ประหนึ่งว่าความปรารถนาดีของซาตาน!
    และทุกข์ของชาวนาที่รัฐบาลนำมาพลิกแพลงเป็นช่องทางแห่งโอกาสทั้งทางคอรัปชั่นและคะแนนนิยมทางการเมืองนี้ ผมดูทิศทางที่กำลังดำเนินไปแล้ว  ทุกข์ชาวนากำลังถูกนำไปเป็นเชื้อเพลิงเข้าลักษณะ "ทุกข์ชาวนาคือไฟเผาแผ่นดิน"
    ...ในไม่ช้านี้!
    "บริหารให้ประชาชนโง่เข้าไว้ ง่ายต่อการปกครอง" มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ในขณะที่ชาวนาเห็นว่า รัฐบาลประกันราคาขั้นสูงให้ถึง ๑๕,๐๐๐ เอาไปขายโรงสีได้ ๑๐,๐๐๐-๑๓,๐๐๐ ก็พอใจแล้ว เพราะสูงกว่าราคาข้าวในตลาดทั่วไป
    ส่วนเจ้าของโกดัง พ่อค้า-โรงสีในโครงการ จะเอาที่ซื้อกดราคาไปขายได้ราคาเต็มจากรัฐบาล นั่นก็ถือว่า "โกงแล้วแบ่งปัน ไม่เป็นไร...ยอมรับได้" แบ่งกันกิน แบ่งกันโกง ตามสมัยนิยม อะไรปานนั้น!
    แต่ฝ่ายที่พอจะมีสติปัญญาตามทัน เขามองเห็นภัยจากประชานิยมที่ใช้นโยบาย "รับประกันราคาข้าว" ประเภทประกันสูง โดยใช้คำว่า "รับจำนำ" แทนคำว่า "ประกันราคา" เพื่อเลี่ยงเงื่อนไขการค้าโลก ขณะที่ราคาตลาดเกวียนละ  ๘,๐๐๐-๑๑,๐๐๐ ก็ให้ราคาเกวียนละ ๑๕,๐๐๐
    แบบนั้น นอกจากทำลายระบบค้าข้าวแล้ว ยังเป็นการฝังชิปประชานิยมที่เคยตัวเข้าไว้ในสมองชาวนา ซ้ำรัฐบาลเองก็ไม่มียุ้งฉาง-โกดังที่จะเก็บ เก็บไว้นานข้าวก็เสื่อมคุณภาพ แถมจะต้องเปลืองงบค่าเช่าโกดังรายปี เอาแค่ทุนก็ไม่ได้คืนแล้ว ยังขาดทุนทบต้น-ทบดอกอีกมหาศาล
    ครั้นจะนำออกขาย ถ้าขายในราคาตลาด ก็ขาดทุนมาก ครั้นไม่ขาย รัฐก็ไม่มีเงินหมุนเวียน ธ.ก.ส.ก็จะเจ๊ง ข้าวก็จะเสื่อมคุณภาพไปเรื่อยๆ ราคาก็จะเสื่อมตามข้าว แต่ถ้าเทขายพรวดพราด ตลาดก็จะน็อก กลายเป็นข้าวมหาวินาศ
    ประเด็นปัญหาที่กำลังตามมา รัฐบาลก็มองเห็น แต่พยายามเลี่ยงที่จะพูดก็คือ ขณะนี้เมื่อรัฐบาลบอกว่ารับซื้อข้าวทุกเมล็ดเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ จึงเฮโลกันปลูกทั้งนาปี-นาปรัง (ไม่นับรวมข้าวผีที่ลักลอบเข้ามาผสมขายเป็นข้าวไทย)  หวังแค่เป็นเมล็ดขาย ไม่สนใจเรื่องพันธุ์ เรื่องคุณภาพ
    ทั้งขี้นก ขี้หนู กรวด ทราย ใบไม้ ใบหญ้า ข้าวหัก ข้าวเกรดดี เกรดต่ำ  ปนกันเป็นข้าวเปลือกเทใส่โกดังรวมกันไปหมด ในเมื่อทุกเมล็ด ๑ เกวียนก็เอาไป ๑๕,๐๐๐ เรียกว่า "ได้ด้วยกัน" ทั้งชาวนา และพ่อค้า-โรงสี จะต้องไปไยดีอะไรเรื่องคุณภาพ
    นี่คือ การทำลาย "คุณภาพข้าว" ที่เป็นคุณสมบัติสร้างราคาให้ข้าวไทยเหนือกว่าข้าวทุกประเทศในโลกตลอดมาถึงทุกวันนี้
    การรับซื้อทุกเมล็ดเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ ของรัฐบาลเพื่อไทยวันนี้ เป็นการส่งสัญญาณให้ชาวโลกรับรู้ว่า เน้นปริมาณสนองตอบคะแนนนิยม ไม่ต้องการเน้นคุณภาพข้าวสนองตอบผู้บริโภค
    ต่อไปนี้ "ข้าวไทย" ไม่ได้คู่กับคำว่า "คุณภาพ" ต่อไปอีกแล้ว!
    ข้าวที่เน้นปริมาณขายเอาคะแนน นอกจากละเลยด้านคุณภาพแล้ว  ปริมาณนั้น นอกจากทำลายแบรนด์ข้าวไทยยังเป็นปริมาณส่งเสริมคอรัปชั่นที่ผลาญงบประมาณแผ่นดินผ่านรูปแบบต่างๆ มากมาย ที่เห็นชัด ข้าวนาปรังที่ปกติน้อยกว่านาปี แต่ปีนี้มาจากไหนไม่รู้ มีเกินกว่าเนื้อนาคำนวณเยอะแยะ
    ฤดูกาลที่ผ่านมา นาปี-นาปรัง รัฐบาลซื้อข้าวเปลือกเก็บเข้าโกดังไว้ดูเล่น  ๒๐ กว่าล้านตัน หมดไป ๓ แสนกว่าล้านบาท ในฤดูผลิตใหม่ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖  วางกรอบจะซื้อข้าวเปลือกใส่โกดังไว้ดูเล่นอีกประมาณ ๒๖ ล้านตัน เฉพาะข้าวนาปีที่เริ่มแต่ ๑ ต.ค.๕๕ ไปสิ้นสุดเอา ๑๕ ก.ย.๕๖ ตรงนี้ ๑๕ ล้านตัน ใช้เงิน  ๒.๔ แสนล้าน
    คำถามบนความ "เคยได้-เคยชิน" เหมือนน้ำฟรี-รถเมล์ฟรี-รถไฟฟรี จนใครมาเป็นรัฐบาลก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ
    ๑.รัฐบาลจะรับซื้อข้าวทุกเมล็ดในความหมาย "ต้องสูงกว่าราคาตลาด" อย่างเช่นเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ อย่างนี้ตลอดไปทุกปี-ทุกฤดูกาล ตราบอายุขัยรัฐบาลเพื่อไทย-เพื่อทักษิณใช่ไหม?
    ๒.แล้วรัฐบาลจะเอาโกดังที่ไหนเก็บข้าวเปลือก-ข้าวสารที่กว้านซื้อใส่ไว้ทุกปี รวมแล้วจะเป็นร้อย-เป็นพัน-เป็นหมื่นล้านตัน เพิ่มไปทุกปี?
    ๓.ถ้ารับซื้อเกินกว่าราคาตลาดติดต่อกัน ๓ ปี อย่างที่รัฐบาลบอก จะเอาเงินที่ไหนมารับซื้อ และประเทศที่ขาดดุลงบประมาณ เมื่อสูญไปเป็นพันล้านล้านบาทเช่นนี้ ข้าวกับประเทศ จะไม่เน่าไปด้วยกันหรือ?
    ๔.ข้าวใหม่จะเข้าสู่ตลาดทุกปี แล้วข้าวเก่าในโกดัง รัฐบาลจะเอาไปขายให้ใคร-ที่ไหน ในขณะที่ข้าวใหม่ในตลาดโลกเขาซื้อขายกันตันละไม่เกิน ๕๐๐  เหรียญฯ แต่ข้าวเปลือกไทยที่เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ นั้น แปลงเป็นข้าวสารแล้ว จะต้องขายตันละ ๘๐๐ เหรียญฯ จึงคุ้ม แล้วจะขายได้ชาติไหน?
    ๕.ถ้าเกิดปัญหาข้าวบริโภคในประเทศขาดแคลน เพราะรัฐบาลซื้อไปกักตุนไว้หมดเช่นนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไร จะเป็นผู้ผูกขาดขายข้าว กำหนดราคาแล้วนำออกสู่ตลาดเอง หรือจะยอมระบายข้าวใกล้เน่าในโกดังให้พ่อค้าประมูลถูกๆ เป็นข้าวหมู-ข้าวหมา ให้ประชาชนซื้อหาไปหุงกิน?
    ๖.ถ้าเกิด "ไฟฟ้าลัดวงจร" ขึ้นตามโกดังรับฝากข้าวของรัฐบาลไม่หยุด-ไม่หย่อน ความเสียหายส่วนนี้ ทั้งเนื้อ-ทั้งน้ำ-ทั้งต้น-ทั้งดอก ใครจะรับผิดชอบ?
    ๗.จำนวน ๒๐% จากเงินรับซื้อข้าวทุกปี รวมยอดนับเป็นล้านล้านบาท  ถ้า ๒๐% ตามคติประชานิยม "โกงไม่เป็นไร ถ้าเอามาแบ่งกัน" นั้น รัฐบาลคำนวณแล้วหรือยังว่า มากกว่า ๔๖,๐๐๐ ล้านไปกี่เท่า?
    เนี่ย...คำถามหยาบๆ ๗ ข้อนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์มีคำเฉลยให้คนที่เขาสงสัย อยากได้คำตอบหรือยัง ไม่ต้องพูดถึงว่า ต่อไปนี้ข้าวไทยจะล้มละลายเรื่องคุณภาพหรือไม่
    ก็ขนาดว่าวันนี้ "ข้าวหอมมะลิ" ที่เขมรเอาพันธุ์ข้าวจากไทยไปปลูกแท้ๆ  เขายังได้รับรางวัล World's Best Rice 2012 โดยที่ข้าวไทยหายไปจากโลกนี้
    แสดงว่า กลิ่นละมุนรสข้าวไทย หายไปพร้อมกับคำว่าคุณภาพเรียบร้อยแล้ว!?
    เงินงบประมาณนั้น ถ้าใช้ด้วยเจตนาดี เป็นไปเพื่อสร้างอนาคตข้าวไทย ก็เท่ากับดูแลรักษาอนาคตชาวนาไทย ถึงหมดไป ก็ได้ประโยชน์ทางมูลค่าเพิ่มสุดคุ้ม
    แต่การนำเงินภาษีไปละลายเพื่อแลกกับคะแนนนิยมที่พรรคตัวเองจะได้  การทำลายทั้งอนาคตข้าว-อนาคตชาวนาเช่นนี้ เท่ากับทำลาย "อนาคตประเทศชาติ" โดยตรง เพราะเกษตรกร พี่น้องชาวไร่-ชาวนา คือหัวใจ คืออนาคตของความเป็นประเทศไทย ที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้
    คนที่คัดค้านนโยบายรัฐบาลผูกขาดข้าวด้วยการใช้เงินจากภาษี "ทุ่มตลาด" ครั้งนี้ เขาไม่ได้ขวางลาภชาวนา หรืออิจฉาชาวนา ทั้งที่จริงๆ แล้ว การรับซื้อทุกเมล็ดนี้ ชาวนามีขายเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ คนละซัก ๑๐๐ เมล็ด แต่พ่อค้าโรงสีกลุ่มทุนระบอบทักษิณนั่นแหละ
    กว้านซื้อกันมาคนละเป็นแสน-เป็นล้านเมล็ด เกวียนละ ๘,๐๐๐-๑๑,๐๐๐  แล้วเอามาขายขาดให้รัฐบาล ภายใต้ชื่อว่ารับจำนำเกวียนละ ๑๕,๐๐๐!
    ก็ไม่ได้ขวางลาภพวกนี้ หากแต่มองทางข้างหน้าเห็นชัดว่า แบบนี้ ไม่กี่ปี พื้นที่ทั้งประเทศจะไม่เหลือที่ว่าง เพราะจะกลายเป็นสุสานฝังข้าวเปลือก-ข้าวสารไปหมด
    ที่คุยว่าขายเจ๊งทูเจ๊งไปแล้ว ๗ ล้านตัน ก็เป็นการขายแบบนั่งทางใน ไม่มีใครมองเห็น นอกจากรัฐมนตรีพาณิชย์กับนางนายกฯ
    จึงอยากเตือนไว้ ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข อย่าเอาเรื่องข้าว อันเป็น "กระดูกสันหลังชาติ" ที่ค้ำประเทศให้ยืนอยู่ได้ยาวนานมาเหลาเป็นไม้จิ้มฟันเสียบให้รัฐบาลประชานิยมดุ๊กดิ๊กอยู่ได้เลย
    มันไปไม่รอดหรอก กับการเอาปลาเค็มราคา ๑๕,๐๐๐ แขวนขื่อ หลอกให้ชาวนาแหงนคอตั้งบ่าเปิบข้าวเปล่า ส่วนพวกเจ้า...เหล่าอสูร ยกโขยงบินกันไป "ปิดโรงแรมกิน" มื้อละตั้ง ๑,๖๐๐๐,๐๐๐!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น