วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชานิยมสร้างจุดเปลี่ยน วิกฤติมาเยือนประเทศไทย บทบรรณาธิการ 23 October 2555 - 00:00




ประชานิยมสร้างจุดเปลี่ยน วิกฤติมาเยือนประเทศไทย

   ประเทศขับเคลื่อนโดยรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ที่ชื่นชอบในนโยบายของพรรคการเมือง ที่ผ่านมาผ่านการพิสูจน์แล้วว่าประชาชนชอบพรรคการเมืองที่มีนโยบายลด-แลก-แจก-แถม มากที่สุด การเลือกตั้งในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แต่ละพรรคการเมืองจึงนำนโยบายประชานิยมมาแข่งขันเพื่อชิงคะแนนเสียงกันครบถ้วน
    ความสำเร็จของพรรคไทยรักไทย มีหลักฐานเป็นมวลชนสนับสนุนพรรคจำนวนมากมายมหา
ศาล เมื่อกระตุ้นความอยากของประชาชนได้สำเร็จ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จึงมีนโยบายประชานิยมรูปแบบใหม่ๆ มานำเสนออย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสิ่งเสพติดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน
    การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประเมินแต่แรกว่า หากขจัดความหิวของประชาชนได้ ก็จะสร้างความประทับใจจากประชาชนได้เช่นกัน การมุ่งขจัดความหิวในรูปแบบต่างๆ โดยไม่สนใจว่าจะพาประเทศไปสู่หายนะหรือไม่ ถูกลำเลียงออกมาอย่างเป็นระบบ พร้อมๆ กับการนำเงินงบประมาณในอนาคตมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับนโยบาย ใช้เงินต่อเงินเฉกเช่นในธุรกิจภาคเอกชน
    วันนี้นโยบายประชานิยมถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือยัง หรือยังมีการลด-แลก-แจก-แถม อีกเยอะแยะที่ยังสามารถนำมาเป็นนโยบายเพื่อสร้างคะแนนนิยมได้ นี่คงเป็นคำถามที่หลายคนอยากได้คำตอบ ซึ่งไม่ง่ายนักที่จะให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบได้ เพราะการเมืองไทยในปัจจุบันมีอะไรมากกว่าการให้ประชาชนเพียงอย่างเดียว
    หากพรรคการเมืองแข่งกันนำเสนอนโยบายไปตามปกติไม่มีอะไรแอบแฝง ก็จะเป็นการง่ายที่จะวิเคราะห์ในเนื้อนโยบาย แต่เมื่อพรรคการเมืองเสนอนโยบายเพื่อตอบสนองผลประโยชน์อันซับซ้อนของนักการเมืองเอง โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันกับพรรคการเมือง คำตอบในสิ่งนี้คือ ความฉิบหายยืนรอประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ 
    โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด จะเป็นนโยบายประชานิยมที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานไทยอีกร้อยๆ พันๆ ปี ได้รับรู้ว่า เป็นนโยบายที่มีประชาชนชื่นชอบมากที่สุด โกงกันมากที่สุด และฉิบหายมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์เองก็เหมือนจะรู้ดี เพราะเริ่มมีการยอมรับกลายๆ ว่าทำไปเพื่อช่วยชาวนา ไม่คิดว่ารัฐบาลจะได้กำไร
    การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นโยบายที่พรรคการเมืองแข่งขันกันดุเดือดคือนโยบายด้านการเกษตรและชลประทาน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ จึงนำวิธีรับจำนำมาใช้ คือ ผลิตข้าวได้เท่าไหร่ ก็ได้ราคาขั้นต่ำเท่าของรัฐบาล ข้าวเปลือกขาวเกวียนละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิ
เกวียนละ 20,000 บาท
    พรรคภูมิใจไทย เสนอนโยบาย ประกันราคาข้าวเปลือกตันละ 20,000 บาท พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เสนอนโยบาย ข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มเงินกำไรอีก 25% (รวมเป็น 50%) ให้เกษตรกรจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร
    จะเห็นว่านโยบายเกี่ยวกับเกษตรกรโดยเฉพาะข้าวนั้น มีการแข่งขันที่ดุเดือดแม้รายละเอียดไม่ต่างกันนัก ยกเว้นของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่มีการพูดเรื่องตัวเงินต่อตันที่ชัดเจน สาระสำคัญมิได้อยู่ที่การนำเสนอ แต่เป็นหลังการนำนโยบายมาใช้ต่างหาก
    มีการแก้ไขหลักเกณฑ์จำนำข้าวท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า รัฐบาลจะทำลายชาวนา และข้าวไทยทั้งระบบ แต่รัฐบาลยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ บนพื้นฐานทักษิณคิด คือป้อนให้ประชาชนอิ่มโดยไม่สนใจว่าประเทศจะหายนะหรือไม่ เพราะพื้นฐานความคิดของทักษิณมิได้อยู่ที่ชาวนาอิ่มเพียงอย่างเดียว นั่นเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมเพื่อปีนไปสู่บันไดขั้นที่สูงกว่า
    อย่างที่รู้กัน ทักษิณ ต้องการมวลชนที่เหนียวแน่นขึ้น เพราะลำพังคนเสื้อแดงได้ข้อสรุปแล้วว่า แค่ทรงกับทรุด แต่หากได้ชาวนามาร่วมทัพ ที่สุดแล้วเขาจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ แล้วทักษิณต้องการอะไรบ้าง ลำดับต้นๆ คือพ้นจากความผิดทั้งหมด แม้ทักษิณจะรู้ดีว่าวิธีการนี่เสี่ยงต่อการก่อวิกฤติเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งปัจจุบันปัญหานี้เริ่มก่อตัวอย่างเงียบๆ แต่นิสัยกล้าเสี่ยงทำให้ทักษิณเชื่อมั่นว่าสามารถเอาอยู่ 
    ซึ่งพิสูจน์มาแล้วขณะดำรงตำแหน่ง ว่าเขาสามารถบริหารเงินงบประมาณด้วยการใช้เงินในอนาคต และเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินหวยบนดิน มาเติมในช่องว่าง ขณะนี้ก็เริ่มกลับไปสู่จุดนั้น กับหวยตู้ หวยออนไลน์ อาจเลยเถิดไปถึงเงินบ่อนกาสิโน และการแปลงเงินผิดกฎหมายให้เป็นถูกกฎหมายอื่นๆ อีกมากมาย
    ทั้งหมดจะเป็นไปได้หากสังคมไม่ขัดขวาง และจะเป็นการง่ายที่สังคมซึ่งอิ่มจากการแบ่งปันโดยสิ่งที่ทักษิณคิด ปล่อยให้เรื่องพวกนี้ผ่านพ้นไป เพราะต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น