วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เกษตรกรภายใต้ทุนสามานย์ 16 October 2555 - 00:00



เมื่อไม่กี่วันมานี้...หน้าเศรษฐกิจของ ไทยโพสต์ ได้นำเสนอข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง แต่ต้องเรียกว่าน่าคิด และน่าสนใจไม่น้อย นั่นก็คือ ข่าวคราวว่าด้วยกรณีประเทศเล็กๆ อย่างประเทศภูฏาน ซึ่งเคยเข้ามาศึกษาดูงานความสำเร็จ และความล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศไทย เพื่อที่จะนำไปเป็นบทเรียน ในการวางแนวทางเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง ก่อนการเปิดประเทศไปตามลำดับ ได้ออกมาป่าวประกาศถึงแนวทางการเกษตรของประเทศตัวเอง อย่างมั่นอก มั่นใจ ว่า...นับแต่นี้ ภูฏานจะเป็นประเทศแรกของโลก ที่กำหนดให้มีการทำการเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ อย่างชนิด 100 เปอร์เซ็นต์เต็มๆ...
                                                  -------------------------------------------------
    รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของภูฏาน นาย ภีมะ นัมโช ได้ให้เหตุผลแบบเรียบๆ ซื่อๆ ง่ายๆ ว่า เหตุที่ภูฏานตัดสินใจเดินสู่ เส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว แบบสวนทางกับกระแสโลก ด้วยการประกาศให้ยกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ยาฆ่าแมลง ตลอดไปจนสารเคมีการเกษตรชนิดต่างๆ แบบทั่วทั้งประเทศเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเพราะชาวภูฏานเห็นว่า มวลมนุษย์ในโลกนี้ ได้สร้างแรงกดดันให้กับแผ่นดินและธรรมชาติ มาอย่างหนักหนาสาหัสแล้ว แต่ยังเป็นเพราะการกระทำเหล่านี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่สอดคล้อง กับความเชื่อในทางศาสนาพุทธ ที่มุ่งสอนให้มวลมนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ อีกด้วยต่างหาก...
                                                   -----------------------------------------------
    แต่นอกเหนือไปจาก ความเชื่อ ในทางศาสนาแล้ว...การประกาศยกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ยาฆ่าแมลง ฯลฯ ชนิดต่างๆ ยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกับ ความจริง ในการพัฒนาประเทศ ตามแบบฉบับของภูฏานอย่างแยกไม่ออก ดังที่รัฐมนตรีเกษตรรายนี้ ได้สรุปเอาไว้คร่าวๆ ว่า ถ้าหากภูฏานคิดจะเดินตามแนวทางการเกษตรของประเทศอื่นๆ แล้ว ชาวภูฏานคงต้อง นำเข้า ปุ๋ยเคมี และสารเคมี จากภายนอก ชนิดมากมายมหาศาล อันจะเป็นผลให้ รายจ่าย ของประเทศ มีแต่พุ่งระเบิดเถิดเทิง อย่างไม่เป็นที่สงสัย ด้วยเหตุนี้...การที่บรรดาเกษตรกรในประเทศภูฐานโดยส่วนใหญ่ ต่างก็ทำการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์กันมานานแล้วอย่างเป็นปกติ มีแต่เกษตรกร หรือชาวนาส่วนน้อยเท่านั้น ที่พอจะติดต่อกับโลกภายนอกได้ และหวังจะเพิ่มผลผลิตของตัวเองให้มากๆ เข้าไว้ ถึงได้นำเอาสารเคมีชนิดต่างๆ มาใช้ การประกาศยกเลิกใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีทั่วประเทศ จึงถือเป็นการ ลดรายจ่าย หรือการ ควบคุมรายจ่าย อันตรงกับแนวทางการพัฒนาแบบ พึ่งตนเอง ของประเทศไปโดยปริยาย...
                                                  ------------------------------------------------
    อย่างไรก็ตาม...ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีเกษตรภูฏานเท่านั้น ที่ได้ชี้แจงถึงเหตุผลดังกล่าว ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายแห่งสมาคมดินอินทรีย์ ประเทศอังกฤษ อย่างนาย ปีเตอร์ เบลเจ็ต ยังออกมาให้ความเห็นถึงแนวทางการเกษตรของประเทศภูฏาน ในครั้งนี้ไว้ด้วยว่า ไม่เพียงแต่จะเป็นการช่วยลดรายจ่าย จากการนำเข้าสินค้าต่างประเทศของภูฏานเท่านั้น แต่ยังเป็น การสร้างจุดเด่นทางด้านคุณภาพผลผลิตการเกษตรของภูฏาน อันจะทำให้พืชผลการเกษตรของภูฏาน สามารถขายได้ในราคาพิเศษ ที่สูงกว่าราคาตลาดปกติ อย่างเป็นจริง เป็นจัง หรือเท่ากับเป็นการเพิ่ม รายได้ ให้กับสินค้าการเกษตรของภูฏาน ที่นับวันยิ่งมีการขยายตลาดการส่งออก แพร่สะพัดไปในญี่ปุ่น อเมริกา อินเดีย และแม้กระทั่งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทุกวันนี้ บรรดาผู้บริโภคที่ต้องการพืช ผัก ผลไม้ ซึ่งปลอดการใช้สารเคมี นับวันยิ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สินค้าการเกษตรจากภูฏาน จึงเข้ามาตีตลาดได้สบายๆ...
                                                    -----------------------------------------------
    โดยเฉพาะเมื่อเกษตรกรส่วนใหญ่ในบ้านเรา แตกต่างไปจากเกษตรกรในประเทศภูฏาน แบบคนละเรื่อง คนละม้วน คือถ้าหากไม่ใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ฯลฯ ที่ถูกสั่งเข้าและผูกขาด โดยบรรดาอภิมหาพ่อค้าการเกษตร ทั้งนอกประเทศและในประเทศแล้ว จะเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กับคนที่ต้องกินเหล้า โดยไม่ได้สูบบุหรี่ หรือคนที่อยากจะปี้ แต่ไม่มีโอกาสได้เคล้าคลึง อะไรประมาณนั้น หรือต่างก็กลายเป็นเกษตรกร ที่เสพติดสารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ฯลฯ ชนิดต่างๆ จนรายได้จากผลผลิตการเกษตรในแต่ละปี เมื่อนำไปหักกลบลบหนี้ กับรายจ่ายค่าปุ๋ย ค่าสารเคมี ชนิดต่างๆ แล้ว ดีไม่ดี...อาจ เหลือแต่เขือ หรือ รวยแต่เขือ มาโดยตลอด ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งอยากจะเร่งใช้หนี้ ยิ่งทำให้พ่อค้าปุ๋ย พ่อค้าสารเคมี มีแต่รวยกับรวย ยิ่งขึ้นเท่านั้น...
                                                  -----------------------------------------------
    ด้วยเหตุนี้...จึงเป็นเรื่องไม่แปลก ที่อภิมหาพ่อค้าปุ๋ย พ่อค้าสารเคมี และอภิมหาพ่อค้าการเกษตร ถึงได้ออกมาเชียร์ให้รัฐบาลแต่ละรัฐบาล สร้างแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ให้กับเกษตรกร ในการเพิ่มผลิตการเกษตรให้มากๆ เข้าไว้ เพราะยิ่งเกษตรกรอยากได้เงิน อยากได้ผลผลิต เพิ่มขึ้นมากๆ เท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มการใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมี หรือเป็นการ เพิ่มกำไร ให้กับบรรดาพ่อค้าเหล่านี้ มากขึ้นเท่านั้น การผลิตข้าวให้มากๆ เข้าไว้ โดยไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจเรื่องคุณภาพดิน คุณภาพข้าว ไม่ต้องสนใจหลักความเชื่อในทางศาสนา เพื่อเอาข้าวแต่ละเม็ดมาจำนำกันในทุกเมล็ด ไม่เพียงแต่ทำให้เงินรายได้จากภาษีอากรราษฎรทั่วทั้งหมด ต้องถูกนำไปใช้จ่ายกันปีละนับเป็นแสนๆ ล้านเท่านั้น ยังทำให้รายจ่าย จากการสั่งเข้าปุ๋ยเคมี สารเคมี เพิ่มสูงอย่างเป็นประวัติ
การณ์ แถมยังมีการขึ้นราคาปุ๋ย ราคาสารเคมีการเกษตร ราคาอาหารสัตว์ ฯลฯ ขึ้นไประดับ 20-30 เปอร์เซ็นต์ นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา...
                                                  -----------------------------------------------
    เรียกว่า...ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้บริโภค ผู้เสียภาษีอากรเท่านั้น ที่ต่างต้องเดือดร้อน เพื่อแลกมากับราคาข้าว ที่สูงกว่าราคาตลาดปกติไป ไม่รู้กี่เท่าตัว กระทั่งเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายเล็กๆ ที่ยากจนข้นแค้น ไม่ต่างอะไรไปจากชาวนาจนๆ ทั้งหลาย ยังพลอยต้องเดือดร้อนตามไปด้วย เนื่องมาจากกรณีที่รัฐบาล กำหนดให้การจำนำข้าวในแต่ละครั้งนั้น บรรดาโรงสีทั้งหลาย ต้องส่งข้าวท่อน รำข้าว และปลายข้าว เข้าไปเก็บรวมในโกดังด้วย อันมีผลทำให้วัตถุดิบที่นำมาผลิตอาหารสัตว์ เกิดการขาดแคลนอย่างหนักหนาสาหัส ชนิดผู้เลี้ยงหมูรายเล็ก ต่างต้องล้มละลายไปตามๆ กัน เพราะอาหารสัตว์ ซึ่งถูกผูกขาดอยู่ในมืออภิมหาพ่อค้ารายเดิมนั่นแหละ ฉวยโอกาสขึ้นราคา อย่างชนิดเป็นบ้าเป็นหลัง และถ้าหากเกษตรผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ยิ่งตายลงไปเท่าไหร่ ยิ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ หรือบริษัทการเกษตรข้ามชาติ ยิ่งสามารถผูกขาดตลาดได้มากขึ้นเท่านั้น แถมวันดีคืนดี บริษัทยังสามารถเพิ่มกำไรในทางอ้อม ด้วยการไปนำเอาผลผลิตข้าวจากโครงการ คอนแท็กต์ ฟาร์มมิ่ง ในประเทศเพื่อนบ้าน มาสวมตอจำนำได้อีก ฯลฯลฯลฯ และอาจจะด้วยเหตุที่ ทั้งพ่อค้าและรัฐบาล สามารถหากิน หากำไร กันในแบบครบวงจรเช่นนี้ ถึงได้ทำให้ วอยซ์ ทีวี กับ ทรูวิชั่นส์ สามารถควบรวมกิจการกัน โดยไม่ขัดเขินเอาเลยแม้แต่นิด...
                                                   -------------------------------------------------    
    ปิดท้าย ด้วยวาทะวันนี้ จาก Anon...Nations die on the soft bed of luxury. - ประเทศชาติ...ตายบนเตียงที่อ่อนนุ่มและฟุ่มเฟือย..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น