วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ชาวนา"ฐานการเมือง ฤาคือผลงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์?16 October 2555 - 00:00



บริหารประเทศ 1 ปีกับอีก 2 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คลอดผลงานออกมาหลายขนาน มีทั้งถูกอกถูกใจประชาชนที่ได้รับประโยชน์ และหวาดระแวงจากคนที่รู้ทัน  แต่ทั้งหมดมีผลที่คล้ายๆ กัน คือสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา 
    รัฐบาลเตรียมแถลงผลงานในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน ตกเป็นที่จับตามองว่านอกจากรัฐบาลแถลงผลงานแล้ว จะแถลงผลของงานด้วยหรือไม่ เพราะหลายนโยบายประชานิยม เกิดภาพติดลบและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น 
    นโยบายรถคันแรก แม้จะมีผู้คนนิยมชมชอบและใช้บริการนโยบายนี้ แต่ก็สร้างปัญหาใหม่ซ้อนปัญหาเก่าขึ้นมา รถราติดขัดไปทั่วเมือง ถึงจะโทษประชาชนไม่ได้เพราะใครก็อยากสบาย แต่สุดท้ายสบายกันจริงหรือไม่ จากสถิติจำนวนรถกับถนนใน กทม.ที่เดินสวนทางกัน ได้แสดงให้เห็นแล้วในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เวลาของคนกรุงหายไปกับการเดินทางมากขึ้น 
    รัฐบาลมีนโยบายลดการใช้พลังงาน มีการประชาสัมพันธ์สารพัด กลับไม่พบว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อนุมัติการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นใหม่ๆ ที่สร้างกันขนาดใหญ่ในเวลานี้ ทั้งหมดเป็นผลงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหตุผลคงคล้ายๆ กับยุครัฐบาลทักษิณ คือหาเสียงกับรถไฟฟ้า แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลกลับนำเงินไปทุ่มในโครงการประชานิยมที่เห็นผลได้เร็วกว่า ซึ่งต่างจากรถไฟ
ฟ้าที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 3-4 ปี 
    โครงการรับจำนำข้าว เป็นอีกนโยบายที่สร้างผลกระทบกับสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง และในอนาคตอันใกล้นี้แรงกระเพื่อมอันมหาศาลจะถาโถมเข้ามา อาจเลยเถิดไปถึงการสร้างความแตกแยกในสังคมขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ เราอาจได้เห็นชาวนาลุกขึ้นมาชุมนุมเพื่อปกป้องรัฐบาลให้พ้นจากการตรวจสอบ
    ประวัติศาสตร์ทางการเมืองได้แสดงให้เห็นว่า หากประชาชนได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่านโยบายนั้นจะส่งผลดี-ผลเสียต่อประเทศโดยรวมขนาดไหน  ก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาปกป้องรัฐบาลเสมอ จนมีการพูดต่อๆ กันว่า รัฐบาลทักษิณเป็นขวัญใจของคนจน รากหญ้า ในชนบท  และนั้นคือ ต้นตอของการที่ระบอบทักษิณมีคนเสื้อแดงเป็นมวลชน
    นักการเมืองรู้จุดอ่อนของประชาชน นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลพลังประชาชน และรัฐบาลเพื่อไทย โดยการกำกับของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงสร้างมวลชนได้มากมายมหาศาลเช่นนั้น แต่การได้มาซึ่งมวลชนบนความเสียหายของประเทศนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ผลเสียของนโยบายประชานิยม คือประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ ประชาชนแบ่งเป็นฝ่าย ถึงขั้นต้องสู้รบกันกลางเมือง ชิงอำนาจด้วยการเผาบ้านเผาเมือง เพราะพื้นฐานของนโยบายประชานิยมล้วนเกิดจากการโกหกในข้อเท็จจริง ประชาชนที่ตามไม่ทันจะเห็นภาพอย่างหนึ่ง ส่วนที่ตามทันก็จะเห็นอีกภาพหนึ่ง ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 
    การโกหกยังนำมาซึ่งการคอรัปชั่น แม้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะพยายามแสดงบทบาทผู้ปราบการทุจริต แต่ไม่เป็นที่ประจักษ์ว่า มีการปราบปรามการคอรัปชั่นกันอย่างจริงจัง จนถึงเวลานี้การโกหกกับคอรัปชั่นได้กลายเป็นเรื่องเดียวกันที่ประชาชนบางส่วนยอมรับไปแล้ว 
    โกหกสีขาว ที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับนั้น คือเสียงที่สะท้อนโดยรัฐบาลให้เห็นว่า รัฐบาลนี้มีทัศนคติในการบริหารราชการแผ่นดินเช่นไร เป็นการยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมที่จะปิดบัง และให้ข้อมูลเท็จกับประชาชน และเห็นว่ารัฐบาลสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างชอบธรรม
    การที่สังคมไม่ลุกขึ้นต่อต้านการโกหกของรัฐบาลอย่างจริงจัง ส่งผลให้รัฐมนตรีคนอื่นๆ โกหกหน้าด้านๆ ในแทบทุกเรื่อง โดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนแม้แต่น้อย  เช่น การที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง มีการอ้างว่าภาพข่าวที่สื่อฮ่องกงนำมาเผยแพร่นั้น เป็นภาพเก่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว  แต่พบว่ามีหลักฐานพยานแวดล้อมมากมาย แสดงให้เห็นว่า การพบกันของทั้งสองคนที่ฮ่องกงเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ แต่สังคมไทยก็ยอมรับการโกหกข้างๆ คูๆ เช่นนั้นได้ 
    และการโกหกที่น่ากลัวสุดคือเกิดการคอรัปชั่นมากมายโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว แต่ยังคงมีการโกหกว่าชาวนาได้ประโยชน์ จริงอยู่ชาวนาได้ประโยชน์ขายข้าวได้ในราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท แต่ใช่ว่าชาวนาทั้งหมดจะขายได้ในราคาที่ว่า มีชาวนาที่ร่ำรวยจำนวนหนึ่งได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ และประโยชน์นั้นมาจากเงินภาษีที่เก็บจากประชาชน
    รัฐบาลใช้ภาษีประชาชนสร้างความนิยมให้ตัวเองด้วยการซื้อชาวนา และจะใช้ชาวนาเป็นฐานทางการเมืองร่วมกับเสื้อแดง ซึ่งเราจะเห็นปรากฏการณ์นี้ในอีกไม่นาน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น