วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รัฐมนตรีลุแก่อำนาจ แบบอย่างที่น่ารังเกียจ 15 October 2555 - 00:00



 รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะเห็นต่างจากตุลาการศาลฎีกาในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรู้สึกไม่เหมือนกับประชาชนโดยทั่วไป จึงไม่เคยคิดที่จะดำเนินการหรือจัดการใดๆ กับคดีความต่างๆ ที่มีทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย ในฐานความผิดใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต แต่ในฐานะของผู้บริหารราชการแผ่นดินแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักหน้าที่ และแสดงความรับผิดชอบอย่างตรงไปตรงมา ภายใต้กรอบของกฎหมายที่บังคับใช้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี และเป็นเครื่องรับประกันว่า ผู้มีอำนาจรัฐไม่เลือกปฏิบัติหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ  
    จากคดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษกที่ทักษิณ ชินวัตร หนีโทษจำคุก 2 ปี มาจนถึงคดีล่าสุด ที่ตุลาการในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งออกหมายจับอดีตนายกฯ ทักษิณ ในข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) นั้น แม้รัฐบาลภายใต้การกำกับดูแลของตระกูลชินวัตร จะตั้งข้อกล่าวหาว่า ล้วนเป็นคดีความที่เกิดขึ้นจากการฟ้องร้องกล่าวโทษของกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงไม่คิดจะดำเนินการใดๆ ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่พึงต้องกระทำ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกามิได้เกี่ยวข้องใดๆ เลยกับเกมทางการเมือง ที่พรรคเพื่อไทยมักจะกล่าวบิดเบือนและเบี่ยงเบน รวมทั้งพยายามทำลายความถูกต้องชอบธรรมและภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมในอำนาจของศาลสถิตยุติธรรม
    จึงเป็นภาพสะท้อนที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่งสำหรับรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ที่กระทำทุกวิถีทางเพื่อเอาใจทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง จนถึงขั้นอวดอ้างท้าทายว่า ไม่เพียงจะไม่ดำเนินการใดๆ กับนักโทษหนีคดีจำคุก และหนีหมายจับของศาลในขณะนี้ แต่ยังพร้อมที่จะบรรณาการยศถาบรรดาศักดิ์ให้ถึงขั้นเป็นนายพลตำรวจเอกเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีมติให้ถอดยศพันตำรวจโทของทักษิณ ชินวัตร ฐานเป็นบุคคลที่กระทำความผิดตามที่กฎหมายระบุมาแล้ว 
    รัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ในการเดินเครื่องอย่างเต็มที่ตรวจสอบ เอาผิดกับอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนถึงขั้นเสนอให้กระทรวงกลาโหมถอดยศนายร้อยที่เคยได้เมื่อครั้งเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อย หรือตั้งใจเต็มที่ในการสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวมารดาของนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ มารับโทษคดียักยอกทรัพย์ แต่ไม่สามารถมองข้ามความจริงได้ว่า ความเต็มที่และความตั้งใจเกินพิกัดของรัฐมนตรีบางคนในชุดดังกล่าว เป็นแผนลับ ลวง พราง ที่สาธารณชนรู้เท่าทันว่า มันคือเกมการเมืองที่สกปรกแบบบ้านๆ
    ดังนั้น วิธีคิด วิธีพูด ที่ฮึกเหิม ลุแก่อำนาจ ไม่ผิดกับอันธพาลครองเมือง สมควรต้องถูกประณาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะ และมีบรรทัดฐานที่พึงประสงค์ว่าจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมนั้น ยิ่งต้องตระหนักถึงบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบที่สูงส่งและมีมากกว่าบุคคลทั่วไป หากคิดและทำในสิ่งที่น่าอัปยศอดสูแล้ว ก็ยิ่งต้องรู้จักละอายใจมากกว่าผู้มีสถานภาพอื่นๆ หลายเท่าทวีคูณ เพราะผู้นำของประเทศคือความคาดหวังของสังคม เป็นผู้ใช้อำนาจกำหนดชะตากรรมของประเทศชาติบ้านเมืองนั่นเอง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น